Thursday, 23 September 2010

REPMACS

     ในที่สุดวิชา Innovative Thinking ก็มาถึงวันสุดท้ายที่จะเรียนแล้ว ผู้เขียนรู็สึกสนุกกับวิชานี้มาก เพราะมันทำให้ผู้เขียนคนนี้มีความคิด และ ไอเดียที่แปลก ใหม่ และแตกต่างจากเดิม และในคาบสุดท้ายนั้นอาจารย์ธงชัยก็ได้สอนเกี่ยวกับ REPMACS สามารถเรียบเรียงใหม่ได้เป็น SCAMPER ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้เราได้ ไอเดีย อะไรใหม่ๆออกมา คำว่า SCAMPER มาจากตัวอักษรทั้ง 7 ตัวมารวมกันคือ

    S –> Substitute (ทดแทน)

เช่น คำว่าไอศครีมซันเดย์ มาจากที่เมืองๆหนึ่งที่ห้ามนำโซดามากินกับไอศครีมในวันอาทิตย์ จึงมีคนคิดใช้ ไซรัปมาแทน ทำให้เกิดเป็นไอศครีมซันเดย์ เพราะว่าขายเฉพาะวันอาทิตย์

image

    C –> Combine (ผสมผสาน)

เป็นการนำสิ่งต่างๆมาผสมผสานกัน เช่น บอลลูนรูปสัตว์ concreteโปร่งแสง

                image                                   image

     A –> Adapt (ปรับสิ่งอื่นมาใช้)

  อาจจะนำเอาหมวดอื่นๆมาประยุกต์ใช้ เช่น velcro หรือที่บ้านเราเรียกว่า ตีนตุ๊กแก นอกจากนี้แาจจะปรับตามพฤติกรรมก็ได้ เช่น สะพานที่เลียนแบบเปลือกตาคนเรา

                      image                                image

     M –> Modify (ปรับปรุง)

         –> Magnify (ขยายให้ใหญ่ขึ้น)

เช่น แตงโมญี่ปุ่น เข็มฉีด insulin ที่รูปร่างเหมือนปากกา หรือ Gundam เท่าของจริงไปเลย

                     image      image         

                                image

     P –> Put to other use (ประยุกต์)

โดยการนำสินค้าชนิดนี้ไปลองกับตลาดอื่น เช่น อ่างน้ำ jagucci ที่ตอนแรกตั้งใจให้คนที่เป็นโรคไขข้อ แต่ขายไม่ออก เลยไปขายกับกลุ่มคนรวยแทนเลยดังขึ้นมา

image

     E –> Eliminate (กำจัด)

ตัดบางอย่างทิ้งอาจจะได้รูปลักษณ์ใหม่ เช่น โดนัทเป็นรูตรงกลางเพราะเมื่อก่อนตรงกลางไม่สุกจึงตัดออก หรือจะเป็น keyboard ที่ไม่มีตัวแป้นพิมพ์

                     image                                   image

     R –> Rearrange (จัดเรียงใหม่)

         –> Reverse (ย้อนกลับ)

เช่น ย้อนกลับไปสมัยก่อนหรือเป็นการนำของเก่ามาประยุกต์กับของใหม่ เช่น pokia

image

 

     จะเห็นได้ว่า การที่จะสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆไม่ยากอย่างที่คิด แค่คิดในทุกๆมุมมอง ลองเปลี่ยนแนวความคิดดู ก็จะได้ไอเดียอะไรที่แปลก ใหม่ แน่นอน

Wednesday, 22 September 2010

Project

     แล้วก็มาถึงงานชิ้นสุดท้ายของวิชา Innovative Thinking นั่นก็คือ project ซึ่ง project จะทำอะไรก็ได้นอกจากอาหารและพวก software ต่างๆ ซึ่งเป็นโอกาสดี เพราะผู้เขียนเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์ จะได้ทำอะไรแปลกๆใหม่ๆบ้าง

     ตอนแรกผู้เขียนก็คิดว่าจะทำอะไรดี นาฬิกา กล่องดินสอ ปากกา สมุด คอมพิวเตอร์ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ จรวด กระสวยอวกาศ …….. สุดท้ายก็ทำ papercraft

   การทำ papercraft ก่อนอื่นเลยเราต้องหาแบบมาก่อน แต่ถ้าหาไม่ได้ก็คงต้องออกแบบเอง แต่เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนวาดรูปห่วยมากกกกกกก ดังนั้นจึงเลือกที่จะหาแบบมา เมื่อได้แบบมาแล้ว ในนั้นก็จะมีวิธีทำมากมาย หลังจากนั้นก็เริ่มตัด ฉีก แปะ ติด ทำทุกอย่างเพื่อให้งานเสร็จสมบูรณ์ โอ้ มันช่างง่ายจริงๆ

    เอาหละ งั้นมาดูดีกว่าว่าผู้เขียนทำอะไร

.

..

….

…..

……………………………………….

     เริ่มต้นด้วยแบบที่จะทำ

SAM_0011 

เมื่อได้แบบมาแล้วก็มาทำตัวโครงกันดีกว่า

 image 

หลังจากนั้นก็มาทำที่จับ ตัวยึดสาย

image

นำเชือกมาทำเป็นสายไวโอลิน แล้วนำทั้งหมดมาประกอบกัน

 

SAM_0062

จะเห็นว่าไม่ยากเลย แค่ต้องใช้ความอดทนซักหน่อย ซึ่งการทำอย่างนี้จะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น เป็นคนที่ใจเย็น และยังช่วยฝึกความอดทนด้วย

ผู้เขียนมีเว็บไซต์ที่ทำ papercraft มาฝาก หวังว่าทุกท่านจะลองกลับไปทำดูนะครับ

http://cp.c-ij.com/en/contents/1006/

Thursday, 16 September 2010

Sax Thinking Hit

  เอ๊ะ?? มันคืออะไร ไม่รู้จัก Sax Thinking Hit ที่จริงแล้วมันก็คือ Six Thinking Hat นั่นเอง (โห่ๆๆๆ….)  มันเป็นวิธีการคิดในแง่มุมหกแง่มุมด้วยกัน โดยคนที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือ Edward de Bono

   image                                                    

Six thinking hat จะใช้หมวกแทนการคิดในเรื่องต่างๆ ที่เป็นหมวกก็เพราะว่าหมวกเป็นสิ่งที่ทุกคนรุ้กันอยุ่แล้ว ซึ่งคุณ Bono ก็ให้หมวกที่มีอยุ่ 6 ใบแทนสีที่แตกต่างกันแทนการคิดในแต่ละมุมมอง

image  หมวกสีขาว –> ดูว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร            image  หมวกสีเหลือง –> เป็นการคิดในแง่บวก

image  หมวกสีแดง –> เกี่ยวกับอารมณ์ เห็นปุ๊บแล้วรู้สึกยังไง   image  หมวกสีดำ –> ตรงข้ามกับหมวกสีขาวคือ คิดในแง่ลบ

image  หมวกสีเขียว –> ความคิดอย่างสร้างสรรค์ เป็นกลาง      image  หมวกสีน้ำเงิน –> เป็นหมวกที่คอยควบคุมหมวกอื่นๆ

ลองตั้งคำถามดูว่า ถ้าห้ามมีการขาย software เถื่อน จะเป็นอย่างไร

เรามาลองสวมหมวกทีละใบดูดีกว่า

    white hat: software แท้มีราคาแพงในขณะที่ของเถื่อนมีราคาถูกแต่คุณภาพอาจไม่ดีเท่าของแท้

     yellow hat: การอุดหนุนซื้อของแท้ช่วยให้ผู้เขียนมีกำลังใจในการผลิตสิ้นค้าใหม่ๆที่มีคุณภาพดีออกมามากขึ้น

     black hat: เนื่องจากต้องเสียค่า ลิขสิทธิ์อาจทำให้คนอื่นๆไม่มีโอกาสได้ใช้ softwareที่มีคุณภาพ

     green hat: อาจให้มีการเช่า software เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์มาก

   จะเห็นว่ามันไม่ยากเลย!!! ถ้าเราเปลี่ยนหมวกไปเรื่อยๆเราก็จะได้ความคิดที่หลายหลายและครบทุกมุม ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองนำหลักการนี้ไปใช้ ซึ่งจะช่วยท่านให้คิดแตกต่างจากเดิมและหลากหลายมากขึ้น

 

NLP

     หลังจากที่ไม่ได้เขียนมา blog มานานมากกกกกกก ผู้เขียนก็เลยขอมาอัพเดท blog กันหน่อย เนื่องด้วยวิชา innovative thinking นั้นอ.ธงชัย ได้เชิญคุณชาตรี เตชะสมบูรณากิจ มาพูดเกี่ยวกับเรื่อง NLP (Neuro - Linguistic Programming) แล้วมันคืออะไร?? มีประโยชน์ยังไง ??

clip_image002

     ก็อย่างที่เขียนไปแล้วว่า NLP มาจาก Neuro - Linguistic Programming ดังนั้นผู้เขียนขอแปลแต่ละคำเลยแล้วกัน

Neuro หมายถึง ระบบประสาทหรือระบบสมอง

Linguistic หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวิธีคิด วิธีใช้ภาษาและการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างรูปแบบการคิดใหม่ ซึ่งจะทำให้การแสดงออกดียิ่งขึ้น

ดังนั้น NLP ก็คือ การที่ไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมอง หรือการโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมในสมอง โดยการที่ผ่านสมองนั้นคนเราจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆผ่านทางประสาทสัมผัสต่างๆไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น และการสัมผัส แล้วแปลงความหมายต่างๆที่ได้รับเข้ามาผ่านทางจิตสำนึกต่างๆ ทำให้เกิดการแสดงออกทางร่างกาย และ พฤติกรรมของคนเรา

แล้วมันมีประโยชน์ไงหละ??.....

อย่างเช่นถ้าเราต้องการเปลี่ยนนิสัยบางอย่างที่มันอยู่ในจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะมันจะมีเส้นบางๆกั้นอยู่ระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก และการจะฝ่ามันเข้าไปได้เราอาจจะต้องใช้แรงมากเพื่อที่จะฝ่ามันเข้าไปได้ แต่อีกวิธีก็คือ NLP นั่นเอง!!!

ในกระบวนการรับรู้ของคนเรา เมื่อเรารับรู้ผ่านทางสิ่งต่างๆแล้วเราก็จะทำกับข้อมูลที่ได้รับ 3 อย่าง คือ

1. ลบทิ้ง การลบข้อมูลทิ้งอาจเป็นการที่เราไม่ใส่ใจมันก็ได้เช่น ขณะที่อ่านอยู่รู้สึกว่ามือข้างไหนออกแรงมากกว่ากัน ??

2. เปลี่ยนแปลง เราอาจจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เรารับเข้ามาเป็นอย่างอื่นที่เราต้องการ ซึ่งจะทำให้มันแตกต่างไปจากเดิม

3. ประยุกต์ใช้ เป็นการที่เราเอาสิ่งที่เคยผ่านมาแล้วมาวิเคราะห์ดู เช่น เราอาจเจอเก้าอี้หน้าตาแปลกๆ แต่เราก็รู้ว่ามันคือ เก้าอี้

   image

หลังจากที่ข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่สมองแล้ว มันก็จะไปฉายซ้ำอีกทีซึ่งเรียกว่า ประสบการณ์ภายใน (Submodality) ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังสนใจ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะจิตซึ่งจะมีผลทำให้เราแสดงออกมาทางร่างกาย และ พฤติกรรม

              Submodality นี้เหมือนกับหนัง ดังนั้นเราจึงสามารถทำอะไรกับมันก็ได้ เช่น ทำให้มันเป็นขาวดำ ไม่มีเสียง ขนาดเล็ก ใหญ่ ……………. ได้ตามที่เราต้องการ

เราสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ภายในได้ โดยมีตัวช่วยคือ Submodality Check List

clip_image025

     Submodality Check list นี้จะเป็นส่วนช่วยให้เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนประสบการณ์ภายในเราได้ ขอยกตัวอย่างในด้านอาหาร สมมติว่าเราชอบกินคอหมูย่างมาก แต่อยากเลิกกินเพราะมันมีโทษแก่ร่างกายมาก ในขณะที่เราไม่ชอบส้มตำปลาร้าเลย เพราะมันกลิ่นเหม็นมาก อย่างนี้เราก็ใช้ วิธีนี้เข้ามาช่วยได้ เช่นลองนึกถึงภาพของคอหมูย่างเป็นยังไง แล้วก็ทำเครื่องหมายไว้ในช่องต่างๆ ต่อมาก็ทำของส้มตำปลาร้า แล้วทำเครื่องหมายบ้าง หลังจากนั้นดูว่าอันไหนที่แตกต่างกัน เช่นส้มตำเห็นเป็นขาวดำ คอหมูย่างเป็นภาพสี ก็ทำให้คอหมูย่างเปลี่ยนเป็นขาวดำแทน เมื่อทำครบแล้วเราก็จะอยากกินมันน้อยลง ?? จริงหรือไม่ผู้อ่านต้องลองเอง แต่สำหรับผู้เขียนก็ทำให้ไม่อยากกินไปหลายวันเลย

Sunday, 29 August 2010




บางคนก็คงงงว่า Canon คืออะไร เหมือน Cannon (ปืนใหญ่) รึป่าว ???? แต่ถ้าบอกว่าเป็น Canon in D หละ ทุกคนคงก็คงจะร้องอ๋อออออเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่ไม่รู้เลยจริงๆก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว 555+ เอ่อ …… ล้อเล่นนะ สำหรับใครที่ไม่เคยได้ยินจริงๆว่ามันคืออะไร ผู้เขียนก็จะบอกให้ ^ ^


 

Canon in D นั้นเป็นบทเพลงๆหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก ในหนังหลายๆเรื่องก็มักจะนำเพลงนี้ไปใช้ไม่ว่าจะเป็น Ordinary People หรือ My Sassy Girl เพลงนี้ประพันธ์ขึ้นโดย Johann Pachelbel
ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก ชื่อเก่าของเพลงนี้คือ Kanon ซึ่ง Pachelbel ประพันธ์มาสำหรับให้เล่นด้วยเครื่องดนตรี 4 ชิ้นเท่านั้นคือ Violin 3 ตัว และ Continuo (คิดว่าเป็น Bass ในปัจจุบัน)


 

จุดเด่นของเพลงนี้คือ Violin ทั้งสามตัวนั้นจะเล่นทำนองเดียวกันตลอด!! อะไรจาสุดยอดขนาดนั้น เริ่มเพลงจะเป็น Bass เล่นเครื่องเดียวไป 4 ห้อง ต่อมาด้วย Violin 1 เล่นทำนองหลัก 4 ห้อง หลังจากนั้นจะเป็น Violin 2 เล่นทำนองของ Violin 1 ที่เพิ่งเล่นผ่านไป เมื่อ Violin 1 เล่นทำนองที่สาม Violin 2 ก็จะเล่นทำนองที่สอง ในขณะที่ Violin 3 เล่นทำนองที่ 1 เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ว้าว!! สุดยอดจริงๆซึ่งมันซับซ้อนเกินกว่าจะเล่นด้วยเปียนโนเครื่องเดียว


 

ผู้เขียนมีคลิปวีดีโอของเพลงนี้มาให้ฟัง หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะชอบนะ  


Wednesday, 25 August 2010


The Secret of Stradivari

    ทุกคนที่เคยเล่นไวโอลินหรือเคยดูการแสดงประเภทดนตรีมาก่อนก็คงรู้จักกับคำว่า Stradivari เป็นอย่างดี คำว่า Stradivari มาจาก อันโตนิโอ สตาดิวารี (Antonio Stradivari) เป็นชื่อของช่างทำไวโอลินที่ดังที่สุด เพราะว่าไวโอลินที่เขาทำเป็นไวโอลินที่มีชื่อเสียงมากอันดับหนึ่งของโลก มีเสียงที่ไพเราะกว่าไวโอลินทั่วไป นอกจากไวโอลินแล้วเขายังทำพวก กีต้าร์ วิโอล่า เชลโล ซึ่งมีมากมายแต่เหลือรอดมาได้ประมาณ 650 ชิ้น

   
   ทำไมไวโอลินของ Stradivari ถึงได้รับความนิยมมาก ????

    ก็เพราะว่าไวโอลินของ Stradivari เป็นไวโอลินที่ถือได้ว่ามีความสวยงาม มีความละเอียด และ มีความพิถีพิถันในงานมากที่สุด นอกจากนี้ไวโอลินของเขายังได้รับความชื่นชอบจากนักไวโอลินทั่วโลก และนักไวโอลินที่ถือว่าเป็นสุดยอดหลายคนของโลกก็ยังใช้ไวโอลินของ Stradivari อยู่ ซึ่งปัจจุบันมีราคาหลายล้านเหรียญ

   
     แล้วหน้าตาไวโอลินของเขาเป็นยังไงหละ ????

    Stradivari ได้สร้างไวโอลินที่มีรูปแบบความยาวและลำตัวแคบมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า "Long Pattern" ในปี 1690 แต่ไวโอลินที่ดีที่สุดของ Stradivari สร้างขึ้นในระหว่างปี 1698 – 1720 ขึ้นอยู๋กับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งช่วงนี้เขาได้สร้างรูปแบบของไวโอลินที่สั้นแต่ลำตัวกว้าง เรียกว่า "Grand Pattern"

   

        แล้วความลับของเขาคืออะไรหละ ???? ทำไมคนรุ่นหลังถึงทำไวโอลินแล้วไม่ดังเท่าเขา

 

    ที่จริงแล้วขั้นตอนการทำไวโอลินของ Stradivari ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ พิศวงอยู่ แต่หลายคนพยายามค้นหาวิธีการทำไวโอลินของ Stradivari และพยายามสร้างตามซึ่งหลายคนก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์บางคนศึกษาแล้วพบว่า Stradivari ได้ใช้ไม้ Spruce ในการทำไวโอลินส่วนบน , ภายในนั้นใช้ไม้ วิลโล่ และ ส่วนข้าง หลัง และคอนั้นใช้ไม้เมเปิล (Maple) ซึ่งได้มีการปรับสภาพโดยใช้สารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม โซเดียม น้ำผึ้ง ไข่ขาว เป็นต้น เพื่อรักษาคุณภาพเสียง โทนเสียง และไดนามิคเสียงของเครื่องดนตรี

    ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ราคาไวโอลินของ Stadivari นั้นสูงถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะทำเครื่องดนตรีที่มีเสียงเหมือนกับที่ Stradivari ไม่ได้ก็ตามแต่ก็ได้เสียงที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งเสียงจะไพเราะหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวไวโอลินเท่าน้นแต่ขึ้นกับ ผู้เล่นด้วยว่ามีความเอาใจใส่กับไวโอลินของตนมากเท่าใด ซ้อมมากเท่าไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าตัวไวโอลินมาก

    

Saturday, 21 August 2010


Juggling
    การโยนสิ่งของนั้นถือเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่เกิด (จริงป่าวหว่า??)
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกๆคนก็โยนเป็นทั้งนั้น แต่จะโยนแบบไหนนี่สิ โยนเพื่อส่งของ โยนเพื่อระบายอารมณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ น้อยคนนักที่จะโยนแบบมีศิลปะ juggling
เป็นการโยนที่มีท่วงท่าที่เข้ากันอย่างลงตัว ถือเป็นศิลปะอีกแบบหนึ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเล่น เพราะต้องมีสมาธิกับมันมาก และต้องฝึกอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้การโยน juggling
ยังมีท่าให้เล่นอีกมากมาย

    การฝึกโยน juggling นั้นทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความอดทนและพยายามซักเล็กน้อย เพราะจะเบื่อกับการที่ลูกตกแล้วตกอีก แต่ก็อย่างว่าไม่มีใครหรอกที่เล่นแล้วบอลไม่ตก เหมือนกับการทำงานต่างๆ หรือแม้กระทั่งตอนที่เราหัดเดิน ถ้าไม่ล้มบ้าง หรือกลัวที่จะล้ม ชีวิตนี้ก็คงอยู๋กับที่ไม่ไปไหน

    เอาหละ ที่นี้ก็มาถึงจุดสำคัญในการโยน juggling กันแล้ว นั่นก็คือ วิธีที่จะฝึกโยน วิธีฝึกนี้สามารถทำได้ง่ายมาก แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และควรฝึกตามขั้นตอน อย่าพยายามข้ามขั้น

    1. ให้ฝึกโยนลูกเดียวก่อน โดยที่ให้โยนจากมือนึงไปอีกมือนึง โดยให้ลูกบอลสูงประมาณระดับสายตา แล้วโยนกลับมาแบบเดิม ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    2. คราวนี้ใช้สองลูกโดยให้แต่ละลูกอยู่ที่มือคนละข้าง หลังจากนั้นก็เริ่มโยนจากมือข้างที่ถนัดก่อน ให้โยนไปถึงระดับที่สูงสุด เมื่อเราเห็นว่าลูกแรกอยู่ในระดับสูงสุดแล้วก็ให้โยนลูกที่สองจากอีกมือนึง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนคล่อง หลังจากนั้นลองฝึกให้มือที่ไม่ถนัดเริ่มโยนบ้าง

    3. ถึงเวลาของเด็ดกันแล้ว นั่นก็คือการโยนสามลูก ขั้นแรกคือ ให้เอาลูกบอลสองลูกวางไว้ในมือข้างที่ถนัด อีกลูกไว้อีกมือ หลังจากนั้นให้เริ่มโยนจากมือข้างี่มีลูกบอลสองลูกก่อน เมื่อลูกแรกขึ้นไปสูงสุดแล้วให้โยนลูกในมืออีกข้างขึ้นไป ทำคล้ายๆกับโยนสองลูก การโยนครั้งแรกๆไม่จำเป็นต้องรับให้ได้ครบก็ได้ ให้เรารู้สึกเริ่มชินกับมัน แต่อย่านานเกินไป เพราะเราจะติดไปเลย ฝึกไปเรื่อยๆก็จะได้เอง



    นอกจาก juggling ที่ใช้บอลสามลูกแล้วยังมี juggling อีกหลายประเภท เช่น



    1. devil stick
จะประกอบไปด้วยไม้สามอัน และจะต้องใช้ไม้ทั้งสองอันเดาะ หมุน ควง โยน ให้ไม้สติ๊กลอยอยู่กลางอากาศให้ได้พร้อมกับใส่ลีลา

    2. contact juggling
ตอนนี้นิยมเล่นมาก ซึ่งจะมีลูกแก้วอคริลิคใสเป็นอุปกรณ์ โดยจะต้องให้ลูกแก้วทั้งหมดไหลไปตามร่างกายของเรา

    3. juggling ring
เหมือนกับการโยนบอลสามลูกแต่เปลี่ยนมาใช้ห่วงแทน

    
 4. poi เป็นการละเล่นของชนเผ่าหนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งจะต้องใช้ท่าเต้นประกอบการหมุนไปด้วย โดยอุปกรณ์จะมีเชือกผูกติดกับอะไรซักอย่างที่ถ่วงน้ำหนักไว้

    5. ………………………………………………..
   

นอกจากนี้การโยน juggling จะช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น และยังเป็นการฝึกสมองของเราไปในตัว และยังเท่ห์อีกด้วย โอ้ !!!! พระเจ้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเลย

Friday, 13 August 2010


Random Stimulation

    หลังจากที่ผู้เขียนได้เสนอกลยุทธ์การตั้งคำถาม กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระแล้ว ผู้เขียนยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์นั่นก็คือ Random Stimulation หรือ การใช้คำสุ่มเพื่อหาความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถหาความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆโดยมีวิธีการในการหาดังนี้

    1. ต้องกำหนดปัญหาหรือหัวข้อที่ต้องการก่อน ถ้าไม่มีก็คงจะยังเริ่มไม่ได้ เช่น จะปรับปรุงร้านอาหารอย่างไรดี ?

    2. เลือกคำนาม หรือคำต่างๆอย่างสุ่มจากหนังสือหรือจากสื่ออื่นๆ โดยเลือกเพียงคำเดียว อย่าเปลี่ยนคำ พยายามเอาหนังสือที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันกับคำถาม เช่น เอามาจากหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ หน้า 23 บรรทัดที่ 3 วรรคที่ 2 เป็นต้น สมมติได้คำว่า "เสื้อคลุม"

    3. มองแนวคิดหรือคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น

    4. ประยุกต์แนวคิดกับปัญหา

    5. หา Idea ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


 

    จากตัวอย่างข้างบน จะปรับปรุงร้านอาหารอย่างไรดี ? แล้วได้คำสุ่มคือ เสื้อคลุม สามารถนำมาประยุกต์เข้าด้วยกันได้ เช่น

    1. ให้พนักงานทุกคนใส่หน้ากาก

    2. ให้พนักงานใส่เสื้อตามเทศกาล

    3. ให้เสื้อสีต่างๆกับลูกค้าที่มารับประทาน

    4. ให้ลูกค้ารับประทานอาหารในความมืด

    5. เปลี่ยนบรรยากาศของร้าน

    6. มีบริการผ้าห่มสำหรับลูกค้าที่หนาวหรือไม่ค่อยสบาย

    7. ………………………………


 

    จะเห็นได้ว่าตอนแรกคำว่าเสื้อคลุมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับ ร้านอาหารเลย แต่พอลองมองและคิดดีๆจะพบว่ามันสามารถเอามาเกี่ยวข้องได้มากมาย ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนสามารถคิดและหาความสัมพันธ์ในสิ่งที่แตกต่างได้อย่างแน่นอน และยิ่งคำที่แปลกมากขึ้นก็จะได้ความคิดที่แหวกแนวมากยิ่งขึ้น คราวหน้าผู้เขียนจะมาบอกเกี่ยวกับการโยน juggling และประโยชน์ของมันกัน

Thursday, 12 August 2010


Violin

    วันนี้ผู้เขียนจะขอเล่าเกี่ยวกับประวัติของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ลองทายว่าผู้เขียนจะเล่าถึงประวัติเครื่องดนตรีอะไร …………………… ถูกต้องนะค้าบบบ นั่นก็คือ violin นั่นเอง (บ้าป่าวเนี่ย = =) ซึ่งผู้อ่านทุกคนก็คงรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะ ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตามโรงละคร การแสดงต่างๆ ในวงออร์เคสตร้า หรือแม้กระทั่งบนท้องถนน!! (นักแสดงตามถนนนะ) แต่หลายคนก็คงสงสัยว่าแล้วไวโอลินมันมาได้ไงอะ หรือเป็นเฉพาะผู้เขียนคนเดียวที่สงสัย……..แต่ก็ช่างมันเถอะ ถึงผู้อ่านไม่อยากรู้แต่ผู้เขียนก็จะบอก...



    ไวโอลินนั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงในระดับที่สูง ซึ่งในตระกูลนี้มีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ Violin Viola Cello และ Double Bass เครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในวงออร์เคสตร้าในปัจจุบัน

       ที่จริงแล้วประวัติความเป็นมาของไวโอลินไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไรว่าเกิดมาในช่วงยุคไหน แต่คาดว่าปรากฏขึ้นครั้งแรกช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในประเทศอิตาลี เชื่อกันว่าผู้สร้างดัดแปลงมาจากเครื่องดนตรียุคกลาง 3 ชนิดซึ่งทั้งสามชนิดนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน มีหลักฐานที่แน่ชัดได้บอกไว้ว่า ไวโอลินที่ถือว่าเป็นเครื่องแรกของโลกถูกสร้างขึ้นโดย Andrea Amati ในช่วงครึ่งศตวรรษแรกของของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อมา พระเจ้าชารลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ Andrea สร้างไวโอลินอีกเครื่องเพื่อมาเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประเภทใหม่ของวงออร์เคสตร้าประจำพระองค์

       แต่ไวโอลินที่คิดว่าเก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดน่าจะเป็นไวโอลิน Le Messie หรือ Salabue ซึ่งถูกสร้างโดย Antonio Stradivari เมื่อปี 1716 ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บรักษาใน Ashmolean Museum ที่ Oxford

      เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้กลายเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทองในการทำไวโอลินของอิตาลี ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ วิธีการและวัสดุที่ใช้ทำไวโอลินยากที่จะเข้าใจและทำได้อย่างให้เป็นเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมีบางคนพยายามนำเทคนิคสมัยใหม่มาใช้ แต่ก็ต้องสูญเสียความอิสระของเส้นสายไป ต่อมาจึงมีการนำอุตสาหกรรมมาผลิตแทน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงทำไวโอลินด้วยฝีมือช่างตามแบบเดิมอยู่จนถึงปัจจุบัน

    โอ้ !!!! เพิ่งรู้ว่า ไวโอลินถือกำเนิดมานานแล้วนะเนี่ย!! ไวโอลินนั้นถือว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงไพเราะเครื่องหนึ่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีเสน่ห์ที่สร้างแรงดึงดูดให้กับคนฟังทุกคนได้ ผู้เขียนชอบไวโอลินมาก และหวังว่าผู้อ่านทุกคนก็คงจะชอบไวโอลินเช่นเดียวกับผู้เขียนนะ

คราวหน้าจะมีเรื่องเกี่ยวกับไวโอลินอีก อย่าลืมติดตามนะคร้าบบบบบบบ

Sunday, 8 August 2010


TED

    หลายคนคงยังไม่รู้จัก TED ซึ่งผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้ทำการบ้านวิชา Innovative Thinking คือ ให้เข้าไปในเว็บเพื่อดูและเลือกอันที่สนใจ และนำไปสรุปว่าเรื่องนี้เป็นยังไง มีความน่าสนใจตรงไหน และเกี่ยวอะไรกับวิชา Innovative Thinking ….. ก็ทำให้ผู้เขียนรู้ว่าเว็บนี้มีประโยชน์มากๆนั่นเอง วันนี้ผู้เขียนจึงขออธิบายเกี่ยวกับเว็บนี้อย่างคร่าวๆ


    Ted มาจาก Technology Entertainment และ Design
ก่อตั้งโดย Richard Saul Wurman และ Harry Marks ในปี 1984 เริ่มมีการจัด conference ตั้งแต่ปี 1990 จากนั้นในปี 2002 Wurman ก็ออก TED ไป แล้วให้ Chris Anderson มาเป็นผู้ดูแลแทน TED เป็นองค์กรที่เกี่ยวกับ การศึกษา งานวิชาการ การวิจัยเป็นที่รู้จักดีในการจัดสัมนาเชิงวิชาการประจำปีที่ค่อนข้างจำกัดเฉพาะบุคคลที่ได้รับเชิญ

    ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อของ TED Talks ซึ่งเป็นการพูดของบุคคลที่ได้รับเลือกมาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนดังทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Bill Clinton, Sergey Brin และ Larry Page, Bill Gates, ……. แต่ละคนจะมีเวลาในการเสนอไม่เกิน 20 นาที ซึ่งจะมีหัวข้อเกี่ยวกับ technology, entertainment, design, science, arts, politics, education, culture, business, global issues, technology and development


   Ted มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค และ แวนคูเวอร์ โดยในตอนที่เริ่มจัด conference นั้นอยู่เมืองมอนเทอเรย์ แคลิฟอร์เนีย แต่ในปัจจุบัน ได้ย้ายไปอยู่ ลองบีซ แคลิฟอร์เนีย เนื่องจากมีผู้สนใจที่จะเข้ามาฟังมากขึ้น นอกจากนี้ TED ยังมีโครงการใหม่ๆตลอด เช่น The TED Open-Translation Project ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนเข้ามาแปล TED Talks เป็นภาษาต่างๆและยังสามารถสมัครเข้าร่วมแปลได้ด้วย, Ted Prize เป็นรางวัล (100,000$)ที่จะมอบให้กับคนที่ได้รับการยกย่องว่า มีแรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งจะมอบให้ปีละ 3 คน, TEDx เป็นการจัด conference แต่เน้นไปที่กลุ่มนักเรียน ธุรกิจเล็กๆ โดย TED จะสนับสนุนให้มีการเผยแพร่ออกไป

    จะเห็นได้ว่า web site นี้มีประโยชน์มากเพราะ คนที่มาเสนอนั้นมีแนวคิดใหม่ๆออกมามากมาย และยังเป็นแนวคิดที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกภาษาอังกฤษด้วย เพราะทางเว็บนี้จะมี subtitle ให้โดยมีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง ยังไงผู้เขียนก็ขอฝากเว็บนี้ด้วยละกัน


สนใจเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.ted.com/



 

Saturday, 7 August 2010


กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระ

      นอกจากกลยุทธ์ที่เคยนำเสนอไปแล้ว ผู้เขียนขอเพิ่มอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่(ผู้เขียนคิดว่า)สำคัญฝากไว้ด้วย ก็คือ กลยุทธ์การเชื่อมโยง การเชื่อมโยงเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้อยู่แล้วแต่ขึ้นกับว่าใครจะเชื่อมโยงอะไรกับอะไรออกมา แต่ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะยกตัวอย่างการเชื่อมโยงต่างๆ ผู้เขียนขอเสนอคำว่า แพร่งความคิด หลายคนอาจงงว่ามันคืออะไร ?? มันก็คือ สถานที่ซึ่งศาสตร์ วัฒนธรรม สาขาวิชาต่างๆมาบรรจบกัน ทำให้เกิดความคิดแปลกใหม่มากมาย มหาศาลซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมแบบใหม่

    ซึ่ง Idea ของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

    1. Directional Idea -> ความคิดเฉพาะทาง -> เป็นความคิดที่ผลักดันไปในทิศทางหนึ่งที่แน่ชัดก่อให้เกิดนวัตกรรมเฉพาะทาง

    2. Intersectional Idea -> ความคิดผสมผสาน -> เกิดจากการนำแนวคิดหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกันมารวมกันให้เกิดความคิดใหม่ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่

การเชื่อมโยงอย่างอืสระนั้นไม่จำเป็นต้องนำแนวคิดที่คล้ายกันหรือสิ่งที่เหมือนๆกัน แต่เป็นการนำสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันนำมารวมด้วยกัน เช่น


      จะเห็นได้ว่าเราสามารถนำความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยมาผสมผสานให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้ แต่เป็นการยากที่จะรู้ได้ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นสามารถทำได้ อย่างที่ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้แล้วในอาทิตย์ก่อนๆว่า คนเราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่ และไม่ควรจะหยุดคิด ควรจะคิดหรือนำสิ่งที่ได้ไปต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ตนเองและคนอื่นๆด้วย

กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ

           ต่อจากคราวที่แล้วที่พูดถึง กลยุทธ์การตั้งคำถาม แต่ว่าครั้งนี้จะขอพูดถึงกลยุทธ์ใหม่นั่นก็คือ "การคิดนอกกรอบ" หลายคนคงรู้มาแล้วว่าการคิดนอกกรอบคืออะไร ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่ขอกล่าวอะไรมาก เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนลองคิดทำสิ่งที่แหวกแนวออกไป เช่น keyboard หลายคนคงไม่รู้ว่า keyboard ปัจจุบันทำให้ความเร็วในการพิมพ์ของเราลดลง จะเห็นได้ว่าแป้นพิมพ์นั้น ตัวอักษรต่างๆเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบเท่าไร เนื่องมาจากว่าสมัยก่อน เครื่องพิมพ์ดีดเวลาพิมพ์มันจะเกิดการซ้อนทับกันหรือติดขัดของหัวแป้นพิมพ์ จึงได้มีการพัฒนาในรูปของ keyboard ในปัจจุบัน ลักษณะการจัดวางตัวอักษรในkeyboard ปัจจุบันเรียกว่า QWERTY  และนอกจากนี้ยังมีการพัฒนา keyboard ให้อยุ่ในรูปแบบอื่นๆด้วย เช่น DVORAK  เป็นแป้นพิมพ์ที่จะช่วยให้เราสามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้น แต่คนไม่นิยมเพราะคนส่วนใหญ่ถนัดใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ไปแล้ว



         นอกจากนี้ยังมีการย้อนกลับสมมติฐาน นั่นก็คือ การที่เราตั้งอะไรไว้แล้วลองคิดว่าถ้าไม่มีแบบนั้นหละ?? จะเป็นยังไง เช่น




      
        ผู้เขียนจะจบด้วยการให้ผู้อ่านทุกท่านลองมาคิดกันเล่นๆดู โจทย์  ก็คือ มีจุดอยู่เก้าจุด ให้ใช้ปากกาหรืออะไรก็ได้ ขีดเส้นตรงที่ต่อเนื่องกันไม่เกินสี่เส้น โดยห้ามยกปากกา และให้ผ่านครบทั้งเก้าจุด ถ้ามีใครรู้อยู่แล้วลองคิดหาวิธีอื่นดู มีมากกว่าหนึ่งวิธี
 


 


Monday, 26 July 2010


กลยุทธ์การตั้งคำถาม

     หลังจากที่ไม่ได้เรียนวิชา Innovative Thinking มานาน วันนี้ผู้เขียนเลยมาบอกเกี่ยวกับการเรียนวิชา Innovative Thinking ในครั้งนี้กัน

วันนี้ผู้เขียนได้เรียนเกี่ยวกับกลยุทธ์การตั้งคำถาม การตั้งคำถามนั้นมีส่วนช่วยให้เราเข้าใจในสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะวิเคราะห์ปัญหาต่างๆให้เข้าใจถึงสิธีการแก้ไข ซึ่งผู้เขียนจะขอเสนอ 3 เทคนิคได้แก่

    1. แผนผัง Why-Why เป็นการกำหนดว่าเรามีปัญหาอะไรบ้างแล้วก็แตกออกไปเป็นสาเหตุต่างๆซึ่งแต่ละสาเหตุก็สามารถที่จะแตกต่อไปได้ เช่น
 


2. การถามคำถามที่ตรงกันข้าม เช่น เราจะเรียนให้ดีขึ้นโดยวิธีใดได้บ้าง? บางคนก็จะคิดได้น้อยว่าทำยังไงหว่า? แต่ถ้าเรามองกลับเป็น เราจะเรียนให้แย่ลงโดยวิธีใดได้บ้าง? จะมีวิธีเยอะไปหมดไม่ว่าจะเป็น
- ไม่ตั้งใจเรียน
- หลับในห้อง
- ไม่อ่านหนังสือ
- ก่อนสอบไปดูหนัง ฟังเพลง…. ลันล้า
- ติดเกม มัวแต่เล่น dotA
- ติด BB chat ทั้งวัน ติด facebook
-………………….
หลังจากที่ได้คำตอบเป็นล้านอย่างแล้ว (เวอร์สุดๆ) ก็จะสามารถหาคำตอบได้เช่น หลับในห้อง ก็แก้โดย ไม่หลับในห้อง ติดเกม ก็แก้โดย ลดการเล่นเกมลง (บลาๆๆ)

3. ให้ตั้งคำถามว่า "What if…" อะไรจะเกิดขึ้นถ้า …. การตั้งคำถามนี้เราจะเห็นได้ในหนังหรือการ์ตูนทั่วๆไป เช่น
หนังเรื่อง The Core เป็นการตั้งคำถามว่า อะไรจะเกิดขึ้น….ถ้าแกนโลกหยุดหมุน ในหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าแกนโลกหยุดหมุนสัตว์ต่างๆที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กโลกเช่น พวกนก ก็จะหลงทิศทาง หรือแม้แต่คนที่ต้องอาศัยเครื่องกระตุ้นหัวใจก็จะมีผลทำให้หัวใจล้มเหลวในทันที นอกจากนี้ก็ยังมีหนังอีกมากมายที่อาศัยหลักการนี้ไม่ว่าจะเป็น 2012 วันสิ้นโลก ที่สมมติว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้า โลกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ The Time machine ที่สมมติว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนเราสามารถที่จะย้อนไปในอดีตหรือไปในอนาคตได้


 

     อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าบางทีการตั้งคำถามก็ทำให้เราคิดอะไรใหม่ๆได้มากขึ้นและการคิดแบบนี้ก็เป็นการคิดอีกมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียนยังไม่เคยคิด และผู้เขียนหวังว่าการคิดแบบนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความคิดที่แตกต่างจากเดิมนะคับ คราวหน้าผู้เขียนจะมาพูดถึง การคิดนอกกรอบกัน ^ ^

Thursday, 15 July 2010


การทบทวน

    คนเราไม่ว่าจะอายุเท่าใด เพศใด ล้วนแล้วแต่ต้องทบทวนทั้งสิ้น เพราะว่าการทบทวนจะเป็นส่วนช่วยให้เราจำได้ดียิ่งขึ้น ถ้ายิ่งทบทวนมากโอกาสที่จะไม่ลืมก็มีสูงมากด้วย คงกล่าวไม่ได้ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทบทวน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษาก็ต้องทบทวนบทเรียนเพื่อจะสอบ คนที่เริ่มทำงานก็ต้องทบทวนในสิ่งที่เคยเรียนมาแล้วเพื่อให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งคนสูงอายุก็นิยมที่จะเล่นไพ่ หรืออะไรก็แล้วแต่เพื่อเป็นการทบทวนความจำไม่ให้ลืม

    เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนกำลังจะสอบ ก็เลยต้องทบทวนจึงขอแนะนำการทบทวนที่(ผู้เขียนคิดว่า)ถูกต้องเล็กน้อย
  1. เมื่อเรียนเสร็จแล้วก็จะไปวิ่งเล่น เฮฮา ลั๊นล้า
  2. อ่านหนังสือไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองอ่านได้มาก ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน นิยาย …..
  3. เวลาในการทบทวน คือเวลาที่เราว่างไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น อ่านตั้งแต่กลางดึก จนถึงเช้ามืด หรือว่าจะเป็น อ่านในขณะที่เดินทางไปเรียนหรือที่ทำงาน
  4. ไม่ทำตามข้อที่กล่าวมาทั้งหมด(แต่ผู้เขียนก็ทำบางข้อนะ)…………เอาหละ! เริ่มจิงจังกันดีกว่า
  5. หลังจากที่เรียนเสร็จในแต่ละวันก็ควรจะอ่านทบทวนว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้าง
  6. อ่านล่วงหน้าที่อาจารย์จะสอน เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็สามารถที่จะถามอาจารย์ในเวลาเรียนได้
  7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมเกินไปเพราะจะทำให้เกิด รอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ตับผิดปกติ ขี้ไม่ออก ไม่สูง สิวขึ้น อ้วน และเป็น หมีแพนด้าได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่จะพูดความเหนื่อยล้าได้ในวันถัดๆไป
  8. ออกกำลังกายด้วย เนื่องจากว่าการออกกำลังกายเป็นการใช้สมอง 80% ที่เหลือ ซึ่งโดยปกติเราใช้แค่ 20% ในการจดจำสิ่งต่างๆ
  9. ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ เพราะจะช่วยให้คุ้นหรือชินกับการทำข้อสอบ
  10. ดูข้อสอบเก่าด้วย เพราะว่าอาจารย์อาจจะออกซ้ำกับปีที่ผ่านๆมาก็ได้
ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆคนคงนึกว่าไม่เห็นต้องทำอย่างนี้คะแนนก็ออกมาดีจะทำไปทำไม แต่ผู้เขียนก็อยากให้รู้ว่าสำหรับบางคนก็ต้องใช้เวลาในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจในบทเรียนต่างๆและสำหรับคนนั้นแม้กระทั่งผู้เขียนเองก็อยาหให้รู้ว่าการทบทวนเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรจะทบทวนในเวลาที่เหมาะสม อย่าหักโหมจนเกินไป โดยเฉพาะช่วงสอบผู้เขียนไม่แนะนำให้อ่านโต้รุ่งแล้วค่อยไปสอบนอกจากจะจำอะไรไม่ค่อยได้แล้วเพราะสมองถูกใช้งานอย่างหนัก ยังมีโอกาสหลับในห้องสอบสูงมาก ถึงแม้ว่าเราจะอ่านมาอย่างดีจำได้หมดแต่ถ้าหลับในห้องสอบก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อีกทางที่ผู้เขียนจะแนะนำก็คือ อ่านกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ เพราะว่าแต่ละคนก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน การอ่านด้วยกันจะเป็นการที่ทำให้ได้มองในมุมต่างๆ หรือแม้กระทั่งใช้วิธีที่ผู้เขียนใช้ นั่นก็คือหาคนรับผิดชอบแต่ละวิชา ซึ่งเมื่อใกล้สอบก็จะมาอธิบายให้เพื่อนๆฟัง หรือว่าจะให้เพื่อนคนนั้นเป็นครูประจำชั้นไปเลยนั่นก็คือให้รับผิดชอบหมดทุกวิชาเลย ซึ่งก็คงจะไม่มีคนยอมเป็นเลยนอกจากจะเก่งระดับเทพพพพพพสุดๆ ไม่ว่าจะทำแบบไหนเราก็คงต้องทบทวนอีกอยู่ดีเพื่อให้รู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจแล้วก็จะมีโอกาสในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ  
ปล. ข้อที่ผู้เขียนเขียนมาทั้งหมดไม่ใช่ว่าผู้เขียนทำตามทั้งหมดนะ(ก็พยายามอยู่เหมือนกันแต่ทำไม่ได้ซักที) แต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าทำแล้วจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจำมากขึ้น

Tuesday, 13 July 2010


Paul Octopus

    เนื่องจากว่าช่วงนี้กระแสของหมึกพอลเป็นที่โด่งดังมาก ผู้เขียนจึงไปหาประวัติและการทำนายผลของหมึกพอลที่แล้วๆมาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบ

    หมึกพอลเป็นหมึกยักษ์อายุ 2 ปี เกิดที่ประเทศอังกฤษ ต่อมันได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน โดยที่ก่อนการแข่งขันฟุตบอลของทีมชาติเยอรมนีกับคู่แข่ง ทางพิพิธภัณฑ์จะให้หมึกพอลเลือกกินหอยแมลงภู่ที่อยู่ในกล่อง โดยที่กล่องนึงเป็นกล่องที่ติดสัญลักษณ์ธงชาติเยอรมนี และอีกกล่องติดสัญลักษณ์ธงชาติของคู่แข่งของเยอรมนี ซึ่งถ้าหมึกพอลกินหอยแมลงภู่ในกล่องที่มีสัญลักษณ์ใดอยู่ จะเป็นการทำนายว่าทีมชาตินั้นจะชนะ

    ตามสถิติการทำนายของหมึกพอลในฟุตบอลยูโร 2008 หมึกพอลทำนายถูกต้องมากกว่าร้อยละ 80 แต่ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 หมึกพอลทำนายการแข่งขันของทีมชาติเยอรมนี ถูกต้องทั้งหมด ( 7 ครั้ง ) โดยที่ทายว่าเยอรมนีจะแพ้ให้กับเซอร์เบียในรอบแบ่งกลุ่ม และยังทายอีกว่าเยอรมนีจะแพ้ให้กับสเปนในรอบรองชนะเลิศ

    ผู้คนเริ่มสนใจในตัวหมึกพอลมากขึ้นตั้งแต่นัดที่ เยอรมนีชนะอังกฤษ จนกระทั่งในการทำนายผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ครั้งสุดท้าย ที่ทำนายว่าทีมชาติสเปนจะชนะทีมชาติทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ทำให้หลายประเทศต่างนำสัตว์ต่างๆมาทำนายบ้างไม้เว้นแม้กระทั่งประเทศไทย ที่นำหลินปิงมาทำนายด้วย

    ผู้เขียนขอปิดท้ายด้วยความจริงหลายประการที่เกี่ยวกับหมึกพอล
 

  1. หมึกพอลกลายเป็นคนดัง(celeb)ในชั่วข้ามคืนที่มีการทำนายผลฟุตบอลโลก
  2. หมึกพอลเป็นที่ต้องการของใครหลายๆคนไม่ว่าจะเป็น นักพนันหรือแม้กระทั่ง นักชิมอาหาร
  3. หมึกพอลสามารถทำเงินให้มากมายถ้าเชื่อในตัวหมึกพอลอย่างไม่มีข้อสงสัย
  4. หมึกพอลไม่กลัวคำขู่ใดๆ เพราะมันก็เอาแต่กินแล้วก็ว่ายน้ำไปมาอย่างร่าเริง
  5. หมีกพอลได้ถูกบันทึกว่าทายแม่นที่สุด เหมือนว่ามันจะพัฒนาฝีมือจากการทำนายฟุตบอลยูโร 2008 มาแล้ว
  6. ……………………………………………………………………………………
  7. …………………………………………………………………………………………………….

Thailand Festival of the Mind 2010

    ความจำเป็นเรื่องของแต่ละคน บางคนจำเก่ง บางคนจำได้ช้า บางคนจำ
อะไรไม่ได้เลย การจำนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับบางคนเพราะแค่ท่องๆไปเดี๋ยวก็ได้ แต่บางครั้งการท่องๆไป แปปเดียวก็ลืมแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม
ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเป็น staff ในงาน Thailand Festival of the Mind 2010 : The Third Thailand Open Memory Championships หรือเรียกทั่วๆไปว่า
การแข่งขันแข่งความจำ งานนี้จัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เขียนได้เป็น staff เนื่องมาจากว่าอาจารย์ธงชัย ที่สอนวิชา Innovative Thinking ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการการแข่งขันครั้งนี้ด้วย และต้องการนักเรียนที่จะไปช่วยเป็น staff ด้วย


    งานนี้จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ระดับ คือ การแข่งขันระดับผู้ใหญ่ และการแข่งขันระดับเด็ก ซึ่งรอบแรกคือรอบเช้า เป็นการแข่งขันในระดับผู้ใหญ่ การแข่งระดับนี้มีโจทย์อยู่ทั้งหมด 4 ข้อ โดยข้อแรกให้แข่งกันจำไพ่ที่สุ่มว่าเรียงลำดับแบบใดเป็นเวลา 10 นาที โดยที่ผู้เขียนและ staff คนอื่นๆเป็นคนสลับไพ่ก่อนที่จะนำมาให้กับผู้แข่งขัน ข้อที่ 2-4 ผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าแข่งอะไรเพราะผู้เขียนเป็นกรรมการคุมสอบข้อแรกข้อเดียว

  
  เมื่อมาถึงช่วงบ่ายเป็นการแข่งขันระดับเด็ก ซึ่งมีนักเรียนจากหลายโรงเรียนเข้ามาแข่งกันมากมาย มีประมาณ 100 กว่าคน ซึ่งจุดนี้เองที่ต้องมีกรรมการมาช่วยตรวจข้อสอบ ซึ่งผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในกรรมการนั้นด้วย การสอบระดับเด็กนี้มีข้อสอบทั้งหมดประมาณ 6 ข้อ โดยเท่าที่ผู้เขียนจำได้จะมีการแข่งขันให้จำหน้าและชื่อของคน เมื่อหมดเวลาจำแล้วก็จะให้เขียนชื่อให้ตรงกับหน้านั้น เด็กบางคนจำไม่ได้ก็เขียนชื่อมั่วมาเลย บางชื่อก็ทำให้กรรมการหลายคนหัวเราะได้เลยทีเดียว บางข้อก็เป็นให้จำตัวเลขซึ่งก็ยังมีเด็กบางคนมั่วอีกเช่นเคย การแข่งบางข้อนั้นมีหักคะแนนด้วย ถ้ามั่วมาเยอะก็คงโดนหักเยอะเลย

    หลังจากการแข่งขันจบก็มีการประกาศว่าใครชนะเลิศ ในระดับต่างๆซึ่งตอนที่ประกาศผู้เขียนไม่อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นก็เริ่มเย็นมากแล้ว ผู้เขียนจึงขอตัวกลับก่อนเนื่องจากมีงานที่ต้องทำอีก

    งานนี้เป็นงานที่ทำให้ผมได้รู้ว่าเด็กๆก็จำเก่งไม้แพ้ผู้ใหญ่เลย บางคนถึงหลายคนจำได้มากกว่าผู้เขียนซะอีก ถ้าผู้เขียนมีโอกาสได้ไปทำงานแบบนี้อีกผู้เขียนก็จะนำมาเล่าให้ผู้อ่านทุกคนทราบนะครับ

Monday, 12 July 2010

 Dead Poets Society

      และแล้วก็ถึงวันที่ผู้เขียนต้องกลับมาเขียน blog อีกครั้ง หวังว่าผู้อ่านคงยังไม่เบื่อก่อนนะ…… แต่ถึงจะเบื่อยังไงผู้เขียนคนนี้ก็จะยังคงเขียนไปเรื่อยๆอยู่ดีแหละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คือว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมาอาจารย์ให้ดูหนังเรื่องนึงชื่อว่า Death Poets Society หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า ครูครับ...เราจะสู้เพื่อฝัน (ผู้เขียนรู้สึกว่าภาษาอังกฤษดูดีกว่าแต่ก็ช่างมันเถอะ) เนื่องจากว่าอาจารย์ต้องไปแสดงการเล่น juggling ที่ลาน central world juggling เป็นการแสดงที่จะมีลูกบอลสามลูก โดยที่คนโยนต้องผลัดกันโยนลูกขึ้นไปแล้วรับให้ได้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันน่าสนุกมากอยากเล่นให้เป็นซักครั้ง

      ผู้เขียนจะขอเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้นิดหน่อย…….ไม่นิดละกันเพราะคงเยอะอยู่ เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านหรือบางท่านที่ยังไม่เคยดูเรื่องนี้ ได้ดูเพราะผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ได้ข้อคิดอะไรเยอะเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในการที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย (ในความคิดของผมคล้ายๆกับโรงเรียนเตรียมอุดมนะ) โดยที่มีครูสอนคนใหม่ชื่อว่า ครูคีตติ้ง(Keating) เป็นครูที่สอนไม่เหมือนกับครูคนอื่นๆโดยที่ครูคีตติ้งไม่ได้ให้นักเรียนท่องแต่ตำรา แต่เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นนักเรียนจึงชอบครูคีตติ้งมาก คำๆนึงที่ผู้เขียนชอบมากคือ “Carpe diem” คา–เพ–เดียม เป็นวลีจากบทกวีในภาษาลาติน แปลว่า Seize the day หรือ จงฉกฉวยวันเวลาเอาไว้ ซึ่งหมายถึงให้ ฉกฉวยช่วงเวลาที่ดีๆของชีวิตเอาไว้
      ต่อมานักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เรียนกับครูคีตติ้งได้ก่อตั้งชมรมที่ชื่อว่า กวีไร้ชีพ(Death Poets Society) ขึ้น หนึ่งในนั้นมีนักเรียนคนหนึ่งชื่อ Neil Perry เขาฝันว่าอยากเป็นนักแสดงแต่พ่อแม่ของเขาไม่ยอมและพยายามบังคับให้ลูกตั้งใจเรียน สุดท้ายแล้ว Neil Perry จึงฆ่าตัวตาย นั่นทำให้เหล่าคณาจารย์สงสัยและสืบค้นเกี่ยวกับ ชทรมกวีไร้ชีพ และได้ข้อสรุปว่าที่ Neil Perry ตายเพราะครูคีตติ้ง นั่นทำให้ครูคีตติ้งต้องถูกให้ออกจากโรงเรียนนี้
ตอนจบของเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนร้องไห้เลย ผู้เขียนคิดว่าเป็นหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องนึงนอกจากหนังเรื่องนี้จะทำให้เรามีความคิดที่แตกต่างจากมุมเดิมๆแล้ว ผู้แต่งเรื่องนี้แต่งได้ดีมาก บางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องจบแบบนี้แต่ผู้เขียนคิดว่า ผู้แต่งคงอยากให้เราได้คิดในสิ่งที่เราไม่เคยได้คิดหรือให้มองในมุมที่แตกต่างจากมุมเดิมก็ได้
ยังไงผู้เขียนก็ขอฝากเรื่องนี้เอาไว้ให้กับใครที่ยังไม่เคยดูก็แล้วกัน แล้วถ้ามีหนังเรื่องอะไรที่น่าดูอีกผู้เขียนก็จะเอามาลงแบบนี้อีกนะครับ