Sunday, 29 August 2010




บางคนก็คงงงว่า Canon คืออะไร เหมือน Cannon (ปืนใหญ่) รึป่าว ???? แต่ถ้าบอกว่าเป็น Canon in D หละ ทุกคนคงก็คงจะร้องอ๋อออออเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่ไม่รู้เลยจริงๆก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว 555+ เอ่อ …… ล้อเล่นนะ สำหรับใครที่ไม่เคยได้ยินจริงๆว่ามันคืออะไร ผู้เขียนก็จะบอกให้ ^ ^


 

Canon in D นั้นเป็นบทเพลงๆหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก ในหนังหลายๆเรื่องก็มักจะนำเพลงนี้ไปใช้ไม่ว่าจะเป็น Ordinary People หรือ My Sassy Girl เพลงนี้ประพันธ์ขึ้นโดย Johann Pachelbel
ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก ชื่อเก่าของเพลงนี้คือ Kanon ซึ่ง Pachelbel ประพันธ์มาสำหรับให้เล่นด้วยเครื่องดนตรี 4 ชิ้นเท่านั้นคือ Violin 3 ตัว และ Continuo (คิดว่าเป็น Bass ในปัจจุบัน)


 

จุดเด่นของเพลงนี้คือ Violin ทั้งสามตัวนั้นจะเล่นทำนองเดียวกันตลอด!! อะไรจาสุดยอดขนาดนั้น เริ่มเพลงจะเป็น Bass เล่นเครื่องเดียวไป 4 ห้อง ต่อมาด้วย Violin 1 เล่นทำนองหลัก 4 ห้อง หลังจากนั้นจะเป็น Violin 2 เล่นทำนองของ Violin 1 ที่เพิ่งเล่นผ่านไป เมื่อ Violin 1 เล่นทำนองที่สาม Violin 2 ก็จะเล่นทำนองที่สอง ในขณะที่ Violin 3 เล่นทำนองที่ 1 เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ว้าว!! สุดยอดจริงๆซึ่งมันซับซ้อนเกินกว่าจะเล่นด้วยเปียนโนเครื่องเดียว


 

ผู้เขียนมีคลิปวีดีโอของเพลงนี้มาให้ฟัง หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะชอบนะ  


Wednesday, 25 August 2010


The Secret of Stradivari

    ทุกคนที่เคยเล่นไวโอลินหรือเคยดูการแสดงประเภทดนตรีมาก่อนก็คงรู้จักกับคำว่า Stradivari เป็นอย่างดี คำว่า Stradivari มาจาก อันโตนิโอ สตาดิวารี (Antonio Stradivari) เป็นชื่อของช่างทำไวโอลินที่ดังที่สุด เพราะว่าไวโอลินที่เขาทำเป็นไวโอลินที่มีชื่อเสียงมากอันดับหนึ่งของโลก มีเสียงที่ไพเราะกว่าไวโอลินทั่วไป นอกจากไวโอลินแล้วเขายังทำพวก กีต้าร์ วิโอล่า เชลโล ซึ่งมีมากมายแต่เหลือรอดมาได้ประมาณ 650 ชิ้น

   
   ทำไมไวโอลินของ Stradivari ถึงได้รับความนิยมมาก ????

    ก็เพราะว่าไวโอลินของ Stradivari เป็นไวโอลินที่ถือได้ว่ามีความสวยงาม มีความละเอียด และ มีความพิถีพิถันในงานมากที่สุด นอกจากนี้ไวโอลินของเขายังได้รับความชื่นชอบจากนักไวโอลินทั่วโลก และนักไวโอลินที่ถือว่าเป็นสุดยอดหลายคนของโลกก็ยังใช้ไวโอลินของ Stradivari อยู่ ซึ่งปัจจุบันมีราคาหลายล้านเหรียญ

   
     แล้วหน้าตาไวโอลินของเขาเป็นยังไงหละ ????

    Stradivari ได้สร้างไวโอลินที่มีรูปแบบความยาวและลำตัวแคบมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า "Long Pattern" ในปี 1690 แต่ไวโอลินที่ดีที่สุดของ Stradivari สร้างขึ้นในระหว่างปี 1698 – 1720 ขึ้นอยู๋กับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งช่วงนี้เขาได้สร้างรูปแบบของไวโอลินที่สั้นแต่ลำตัวกว้าง เรียกว่า "Grand Pattern"

   

        แล้วความลับของเขาคืออะไรหละ ???? ทำไมคนรุ่นหลังถึงทำไวโอลินแล้วไม่ดังเท่าเขา

 

    ที่จริงแล้วขั้นตอนการทำไวโอลินของ Stradivari ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ พิศวงอยู่ แต่หลายคนพยายามค้นหาวิธีการทำไวโอลินของ Stradivari และพยายามสร้างตามซึ่งหลายคนก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์บางคนศึกษาแล้วพบว่า Stradivari ได้ใช้ไม้ Spruce ในการทำไวโอลินส่วนบน , ภายในนั้นใช้ไม้ วิลโล่ และ ส่วนข้าง หลัง และคอนั้นใช้ไม้เมเปิล (Maple) ซึ่งได้มีการปรับสภาพโดยใช้สารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม โซเดียม น้ำผึ้ง ไข่ขาว เป็นต้น เพื่อรักษาคุณภาพเสียง โทนเสียง และไดนามิคเสียงของเครื่องดนตรี

    ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ราคาไวโอลินของ Stadivari นั้นสูงถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะทำเครื่องดนตรีที่มีเสียงเหมือนกับที่ Stradivari ไม่ได้ก็ตามแต่ก็ได้เสียงที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งเสียงจะไพเราะหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวไวโอลินเท่าน้นแต่ขึ้นกับ ผู้เล่นด้วยว่ามีความเอาใจใส่กับไวโอลินของตนมากเท่าใด ซ้อมมากเท่าไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าตัวไวโอลินมาก

    

Saturday, 21 August 2010


Juggling
    การโยนสิ่งของนั้นถือเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่เกิด (จริงป่าวหว่า??)
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกๆคนก็โยนเป็นทั้งนั้น แต่จะโยนแบบไหนนี่สิ โยนเพื่อส่งของ โยนเพื่อระบายอารมณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ น้อยคนนักที่จะโยนแบบมีศิลปะ juggling
เป็นการโยนที่มีท่วงท่าที่เข้ากันอย่างลงตัว ถือเป็นศิลปะอีกแบบหนึ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเล่น เพราะต้องมีสมาธิกับมันมาก และต้องฝึกอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้การโยน juggling
ยังมีท่าให้เล่นอีกมากมาย

    การฝึกโยน juggling นั้นทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความอดทนและพยายามซักเล็กน้อย เพราะจะเบื่อกับการที่ลูกตกแล้วตกอีก แต่ก็อย่างว่าไม่มีใครหรอกที่เล่นแล้วบอลไม่ตก เหมือนกับการทำงานต่างๆ หรือแม้กระทั่งตอนที่เราหัดเดิน ถ้าไม่ล้มบ้าง หรือกลัวที่จะล้ม ชีวิตนี้ก็คงอยู๋กับที่ไม่ไปไหน

    เอาหละ ที่นี้ก็มาถึงจุดสำคัญในการโยน juggling กันแล้ว นั่นก็คือ วิธีที่จะฝึกโยน วิธีฝึกนี้สามารถทำได้ง่ายมาก แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และควรฝึกตามขั้นตอน อย่าพยายามข้ามขั้น

    1. ให้ฝึกโยนลูกเดียวก่อน โดยที่ให้โยนจากมือนึงไปอีกมือนึง โดยให้ลูกบอลสูงประมาณระดับสายตา แล้วโยนกลับมาแบบเดิม ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    2. คราวนี้ใช้สองลูกโดยให้แต่ละลูกอยู่ที่มือคนละข้าง หลังจากนั้นก็เริ่มโยนจากมือข้างที่ถนัดก่อน ให้โยนไปถึงระดับที่สูงสุด เมื่อเราเห็นว่าลูกแรกอยู่ในระดับสูงสุดแล้วก็ให้โยนลูกที่สองจากอีกมือนึง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนคล่อง หลังจากนั้นลองฝึกให้มือที่ไม่ถนัดเริ่มโยนบ้าง

    3. ถึงเวลาของเด็ดกันแล้ว นั่นก็คือการโยนสามลูก ขั้นแรกคือ ให้เอาลูกบอลสองลูกวางไว้ในมือข้างที่ถนัด อีกลูกไว้อีกมือ หลังจากนั้นให้เริ่มโยนจากมือข้างี่มีลูกบอลสองลูกก่อน เมื่อลูกแรกขึ้นไปสูงสุดแล้วให้โยนลูกในมืออีกข้างขึ้นไป ทำคล้ายๆกับโยนสองลูก การโยนครั้งแรกๆไม่จำเป็นต้องรับให้ได้ครบก็ได้ ให้เรารู้สึกเริ่มชินกับมัน แต่อย่านานเกินไป เพราะเราจะติดไปเลย ฝึกไปเรื่อยๆก็จะได้เอง



    นอกจาก juggling ที่ใช้บอลสามลูกแล้วยังมี juggling อีกหลายประเภท เช่น



    1. devil stick
จะประกอบไปด้วยไม้สามอัน และจะต้องใช้ไม้ทั้งสองอันเดาะ หมุน ควง โยน ให้ไม้สติ๊กลอยอยู่กลางอากาศให้ได้พร้อมกับใส่ลีลา

    2. contact juggling
ตอนนี้นิยมเล่นมาก ซึ่งจะมีลูกแก้วอคริลิคใสเป็นอุปกรณ์ โดยจะต้องให้ลูกแก้วทั้งหมดไหลไปตามร่างกายของเรา

    3. juggling ring
เหมือนกับการโยนบอลสามลูกแต่เปลี่ยนมาใช้ห่วงแทน

    
 4. poi เป็นการละเล่นของชนเผ่าหนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งจะต้องใช้ท่าเต้นประกอบการหมุนไปด้วย โดยอุปกรณ์จะมีเชือกผูกติดกับอะไรซักอย่างที่ถ่วงน้ำหนักไว้

    5. ………………………………………………..
   

นอกจากนี้การโยน juggling จะช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น และยังเป็นการฝึกสมองของเราไปในตัว และยังเท่ห์อีกด้วย โอ้ !!!! พระเจ้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเลย

Friday, 13 August 2010


Random Stimulation

    หลังจากที่ผู้เขียนได้เสนอกลยุทธ์การตั้งคำถาม กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระแล้ว ผู้เขียนยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์นั่นก็คือ Random Stimulation หรือ การใช้คำสุ่มเพื่อหาความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถหาความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆโดยมีวิธีการในการหาดังนี้

    1. ต้องกำหนดปัญหาหรือหัวข้อที่ต้องการก่อน ถ้าไม่มีก็คงจะยังเริ่มไม่ได้ เช่น จะปรับปรุงร้านอาหารอย่างไรดี ?

    2. เลือกคำนาม หรือคำต่างๆอย่างสุ่มจากหนังสือหรือจากสื่ออื่นๆ โดยเลือกเพียงคำเดียว อย่าเปลี่ยนคำ พยายามเอาหนังสือที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันกับคำถาม เช่น เอามาจากหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ หน้า 23 บรรทัดที่ 3 วรรคที่ 2 เป็นต้น สมมติได้คำว่า "เสื้อคลุม"

    3. มองแนวคิดหรือคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น

    4. ประยุกต์แนวคิดกับปัญหา

    5. หา Idea ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


 

    จากตัวอย่างข้างบน จะปรับปรุงร้านอาหารอย่างไรดี ? แล้วได้คำสุ่มคือ เสื้อคลุม สามารถนำมาประยุกต์เข้าด้วยกันได้ เช่น

    1. ให้พนักงานทุกคนใส่หน้ากาก

    2. ให้พนักงานใส่เสื้อตามเทศกาล

    3. ให้เสื้อสีต่างๆกับลูกค้าที่มารับประทาน

    4. ให้ลูกค้ารับประทานอาหารในความมืด

    5. เปลี่ยนบรรยากาศของร้าน

    6. มีบริการผ้าห่มสำหรับลูกค้าที่หนาวหรือไม่ค่อยสบาย

    7. ………………………………


 

    จะเห็นได้ว่าตอนแรกคำว่าเสื้อคลุมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับ ร้านอาหารเลย แต่พอลองมองและคิดดีๆจะพบว่ามันสามารถเอามาเกี่ยวข้องได้มากมาย ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนสามารถคิดและหาความสัมพันธ์ในสิ่งที่แตกต่างได้อย่างแน่นอน และยิ่งคำที่แปลกมากขึ้นก็จะได้ความคิดที่แหวกแนวมากยิ่งขึ้น คราวหน้าผู้เขียนจะมาบอกเกี่ยวกับการโยน juggling และประโยชน์ของมันกัน

Thursday, 12 August 2010


Violin

    วันนี้ผู้เขียนจะขอเล่าเกี่ยวกับประวัติของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ลองทายว่าผู้เขียนจะเล่าถึงประวัติเครื่องดนตรีอะไร …………………… ถูกต้องนะค้าบบบ นั่นก็คือ violin นั่นเอง (บ้าป่าวเนี่ย = =) ซึ่งผู้อ่านทุกคนก็คงรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะ ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตามโรงละคร การแสดงต่างๆ ในวงออร์เคสตร้า หรือแม้กระทั่งบนท้องถนน!! (นักแสดงตามถนนนะ) แต่หลายคนก็คงสงสัยว่าแล้วไวโอลินมันมาได้ไงอะ หรือเป็นเฉพาะผู้เขียนคนเดียวที่สงสัย……..แต่ก็ช่างมันเถอะ ถึงผู้อ่านไม่อยากรู้แต่ผู้เขียนก็จะบอก...



    ไวโอลินนั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงในระดับที่สูง ซึ่งในตระกูลนี้มีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ Violin Viola Cello และ Double Bass เครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในวงออร์เคสตร้าในปัจจุบัน

       ที่จริงแล้วประวัติความเป็นมาของไวโอลินไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไรว่าเกิดมาในช่วงยุคไหน แต่คาดว่าปรากฏขึ้นครั้งแรกช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในประเทศอิตาลี เชื่อกันว่าผู้สร้างดัดแปลงมาจากเครื่องดนตรียุคกลาง 3 ชนิดซึ่งทั้งสามชนิดนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน มีหลักฐานที่แน่ชัดได้บอกไว้ว่า ไวโอลินที่ถือว่าเป็นเครื่องแรกของโลกถูกสร้างขึ้นโดย Andrea Amati ในช่วงครึ่งศตวรรษแรกของของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อมา พระเจ้าชารลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ Andrea สร้างไวโอลินอีกเครื่องเพื่อมาเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประเภทใหม่ของวงออร์เคสตร้าประจำพระองค์

       แต่ไวโอลินที่คิดว่าเก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดน่าจะเป็นไวโอลิน Le Messie หรือ Salabue ซึ่งถูกสร้างโดย Antonio Stradivari เมื่อปี 1716 ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บรักษาใน Ashmolean Museum ที่ Oxford

      เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้กลายเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทองในการทำไวโอลินของอิตาลี ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ วิธีการและวัสดุที่ใช้ทำไวโอลินยากที่จะเข้าใจและทำได้อย่างให้เป็นเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมีบางคนพยายามนำเทคนิคสมัยใหม่มาใช้ แต่ก็ต้องสูญเสียความอิสระของเส้นสายไป ต่อมาจึงมีการนำอุตสาหกรรมมาผลิตแทน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงทำไวโอลินด้วยฝีมือช่างตามแบบเดิมอยู่จนถึงปัจจุบัน

    โอ้ !!!! เพิ่งรู้ว่า ไวโอลินถือกำเนิดมานานแล้วนะเนี่ย!! ไวโอลินนั้นถือว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงไพเราะเครื่องหนึ่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีเสน่ห์ที่สร้างแรงดึงดูดให้กับคนฟังทุกคนได้ ผู้เขียนชอบไวโอลินมาก และหวังว่าผู้อ่านทุกคนก็คงจะชอบไวโอลินเช่นเดียวกับผู้เขียนนะ

คราวหน้าจะมีเรื่องเกี่ยวกับไวโอลินอีก อย่าลืมติดตามนะคร้าบบบบบบบ

Sunday, 8 August 2010


TED

    หลายคนคงยังไม่รู้จัก TED ซึ่งผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้ทำการบ้านวิชา Innovative Thinking คือ ให้เข้าไปในเว็บเพื่อดูและเลือกอันที่สนใจ และนำไปสรุปว่าเรื่องนี้เป็นยังไง มีความน่าสนใจตรงไหน และเกี่ยวอะไรกับวิชา Innovative Thinking ….. ก็ทำให้ผู้เขียนรู้ว่าเว็บนี้มีประโยชน์มากๆนั่นเอง วันนี้ผู้เขียนจึงขออธิบายเกี่ยวกับเว็บนี้อย่างคร่าวๆ


    Ted มาจาก Technology Entertainment และ Design
ก่อตั้งโดย Richard Saul Wurman และ Harry Marks ในปี 1984 เริ่มมีการจัด conference ตั้งแต่ปี 1990 จากนั้นในปี 2002 Wurman ก็ออก TED ไป แล้วให้ Chris Anderson มาเป็นผู้ดูแลแทน TED เป็นองค์กรที่เกี่ยวกับ การศึกษา งานวิชาการ การวิจัยเป็นที่รู้จักดีในการจัดสัมนาเชิงวิชาการประจำปีที่ค่อนข้างจำกัดเฉพาะบุคคลที่ได้รับเชิญ

    ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อของ TED Talks ซึ่งเป็นการพูดของบุคคลที่ได้รับเลือกมาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนดังทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Bill Clinton, Sergey Brin และ Larry Page, Bill Gates, ……. แต่ละคนจะมีเวลาในการเสนอไม่เกิน 20 นาที ซึ่งจะมีหัวข้อเกี่ยวกับ technology, entertainment, design, science, arts, politics, education, culture, business, global issues, technology and development


   Ted มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค และ แวนคูเวอร์ โดยในตอนที่เริ่มจัด conference นั้นอยู่เมืองมอนเทอเรย์ แคลิฟอร์เนีย แต่ในปัจจุบัน ได้ย้ายไปอยู่ ลองบีซ แคลิฟอร์เนีย เนื่องจากมีผู้สนใจที่จะเข้ามาฟังมากขึ้น นอกจากนี้ TED ยังมีโครงการใหม่ๆตลอด เช่น The TED Open-Translation Project ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนเข้ามาแปล TED Talks เป็นภาษาต่างๆและยังสามารถสมัครเข้าร่วมแปลได้ด้วย, Ted Prize เป็นรางวัล (100,000$)ที่จะมอบให้กับคนที่ได้รับการยกย่องว่า มีแรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งจะมอบให้ปีละ 3 คน, TEDx เป็นการจัด conference แต่เน้นไปที่กลุ่มนักเรียน ธุรกิจเล็กๆ โดย TED จะสนับสนุนให้มีการเผยแพร่ออกไป

    จะเห็นได้ว่า web site นี้มีประโยชน์มากเพราะ คนที่มาเสนอนั้นมีแนวคิดใหม่ๆออกมามากมาย และยังเป็นแนวคิดที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกภาษาอังกฤษด้วย เพราะทางเว็บนี้จะมี subtitle ให้โดยมีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง ยังไงผู้เขียนก็ขอฝากเว็บนี้ด้วยละกัน


สนใจเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.ted.com/



 

Saturday, 7 August 2010


กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระ

      นอกจากกลยุทธ์ที่เคยนำเสนอไปแล้ว ผู้เขียนขอเพิ่มอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่(ผู้เขียนคิดว่า)สำคัญฝากไว้ด้วย ก็คือ กลยุทธ์การเชื่อมโยง การเชื่อมโยงเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้อยู่แล้วแต่ขึ้นกับว่าใครจะเชื่อมโยงอะไรกับอะไรออกมา แต่ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะยกตัวอย่างการเชื่อมโยงต่างๆ ผู้เขียนขอเสนอคำว่า แพร่งความคิด หลายคนอาจงงว่ามันคืออะไร ?? มันก็คือ สถานที่ซึ่งศาสตร์ วัฒนธรรม สาขาวิชาต่างๆมาบรรจบกัน ทำให้เกิดความคิดแปลกใหม่มากมาย มหาศาลซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมแบบใหม่

    ซึ่ง Idea ของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

    1. Directional Idea -> ความคิดเฉพาะทาง -> เป็นความคิดที่ผลักดันไปในทิศทางหนึ่งที่แน่ชัดก่อให้เกิดนวัตกรรมเฉพาะทาง

    2. Intersectional Idea -> ความคิดผสมผสาน -> เกิดจากการนำแนวคิดหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกันมารวมกันให้เกิดความคิดใหม่ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่

การเชื่อมโยงอย่างอืสระนั้นไม่จำเป็นต้องนำแนวคิดที่คล้ายกันหรือสิ่งที่เหมือนๆกัน แต่เป็นการนำสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันนำมารวมด้วยกัน เช่น


      จะเห็นได้ว่าเราสามารถนำความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยมาผสมผสานให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้ แต่เป็นการยากที่จะรู้ได้ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นสามารถทำได้ อย่างที่ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้แล้วในอาทิตย์ก่อนๆว่า คนเราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่ และไม่ควรจะหยุดคิด ควรจะคิดหรือนำสิ่งที่ได้ไปต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ตนเองและคนอื่นๆด้วย

กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ

           ต่อจากคราวที่แล้วที่พูดถึง กลยุทธ์การตั้งคำถาม แต่ว่าครั้งนี้จะขอพูดถึงกลยุทธ์ใหม่นั่นก็คือ "การคิดนอกกรอบ" หลายคนคงรู้มาแล้วว่าการคิดนอกกรอบคืออะไร ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่ขอกล่าวอะไรมาก เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนลองคิดทำสิ่งที่แหวกแนวออกไป เช่น keyboard หลายคนคงไม่รู้ว่า keyboard ปัจจุบันทำให้ความเร็วในการพิมพ์ของเราลดลง จะเห็นได้ว่าแป้นพิมพ์นั้น ตัวอักษรต่างๆเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบเท่าไร เนื่องมาจากว่าสมัยก่อน เครื่องพิมพ์ดีดเวลาพิมพ์มันจะเกิดการซ้อนทับกันหรือติดขัดของหัวแป้นพิมพ์ จึงได้มีการพัฒนาในรูปของ keyboard ในปัจจุบัน ลักษณะการจัดวางตัวอักษรในkeyboard ปัจจุบันเรียกว่า QWERTY  และนอกจากนี้ยังมีการพัฒนา keyboard ให้อยุ่ในรูปแบบอื่นๆด้วย เช่น DVORAK  เป็นแป้นพิมพ์ที่จะช่วยให้เราสามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้น แต่คนไม่นิยมเพราะคนส่วนใหญ่ถนัดใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ไปแล้ว



         นอกจากนี้ยังมีการย้อนกลับสมมติฐาน นั่นก็คือ การที่เราตั้งอะไรไว้แล้วลองคิดว่าถ้าไม่มีแบบนั้นหละ?? จะเป็นยังไง เช่น




      
        ผู้เขียนจะจบด้วยการให้ผู้อ่านทุกท่านลองมาคิดกันเล่นๆดู โจทย์  ก็คือ มีจุดอยู่เก้าจุด ให้ใช้ปากกาหรืออะไรก็ได้ ขีดเส้นตรงที่ต่อเนื่องกันไม่เกินสี่เส้น โดยห้ามยกปากกา และให้ผ่านครบทั้งเก้าจุด ถ้ามีใครรู้อยู่แล้วลองคิดหาวิธีอื่นดู มีมากกว่าหนึ่งวิธี