Monday, 26 July 2010


กลยุทธ์การตั้งคำถาม

     หลังจากที่ไม่ได้เรียนวิชา Innovative Thinking มานาน วันนี้ผู้เขียนเลยมาบอกเกี่ยวกับการเรียนวิชา Innovative Thinking ในครั้งนี้กัน

วันนี้ผู้เขียนได้เรียนเกี่ยวกับกลยุทธ์การตั้งคำถาม การตั้งคำถามนั้นมีส่วนช่วยให้เราเข้าใจในสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะวิเคราะห์ปัญหาต่างๆให้เข้าใจถึงสิธีการแก้ไข ซึ่งผู้เขียนจะขอเสนอ 3 เทคนิคได้แก่

    1. แผนผัง Why-Why เป็นการกำหนดว่าเรามีปัญหาอะไรบ้างแล้วก็แตกออกไปเป็นสาเหตุต่างๆซึ่งแต่ละสาเหตุก็สามารถที่จะแตกต่อไปได้ เช่น
 


2. การถามคำถามที่ตรงกันข้าม เช่น เราจะเรียนให้ดีขึ้นโดยวิธีใดได้บ้าง? บางคนก็จะคิดได้น้อยว่าทำยังไงหว่า? แต่ถ้าเรามองกลับเป็น เราจะเรียนให้แย่ลงโดยวิธีใดได้บ้าง? จะมีวิธีเยอะไปหมดไม่ว่าจะเป็น
- ไม่ตั้งใจเรียน
- หลับในห้อง
- ไม่อ่านหนังสือ
- ก่อนสอบไปดูหนัง ฟังเพลง…. ลันล้า
- ติดเกม มัวแต่เล่น dotA
- ติด BB chat ทั้งวัน ติด facebook
-………………….
หลังจากที่ได้คำตอบเป็นล้านอย่างแล้ว (เวอร์สุดๆ) ก็จะสามารถหาคำตอบได้เช่น หลับในห้อง ก็แก้โดย ไม่หลับในห้อง ติดเกม ก็แก้โดย ลดการเล่นเกมลง (บลาๆๆ)

3. ให้ตั้งคำถามว่า "What if…" อะไรจะเกิดขึ้นถ้า …. การตั้งคำถามนี้เราจะเห็นได้ในหนังหรือการ์ตูนทั่วๆไป เช่น
หนังเรื่อง The Core เป็นการตั้งคำถามว่า อะไรจะเกิดขึ้น….ถ้าแกนโลกหยุดหมุน ในหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าแกนโลกหยุดหมุนสัตว์ต่างๆที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กโลกเช่น พวกนก ก็จะหลงทิศทาง หรือแม้แต่คนที่ต้องอาศัยเครื่องกระตุ้นหัวใจก็จะมีผลทำให้หัวใจล้มเหลวในทันที นอกจากนี้ก็ยังมีหนังอีกมากมายที่อาศัยหลักการนี้ไม่ว่าจะเป็น 2012 วันสิ้นโลก ที่สมมติว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้า โลกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ The Time machine ที่สมมติว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนเราสามารถที่จะย้อนไปในอดีตหรือไปในอนาคตได้


 

     อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าบางทีการตั้งคำถามก็ทำให้เราคิดอะไรใหม่ๆได้มากขึ้นและการคิดแบบนี้ก็เป็นการคิดอีกมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียนยังไม่เคยคิด และผู้เขียนหวังว่าการคิดแบบนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความคิดที่แตกต่างจากเดิมนะคับ คราวหน้าผู้เขียนจะมาพูดถึง การคิดนอกกรอบกัน ^ ^

Thursday, 15 July 2010


การทบทวน

    คนเราไม่ว่าจะอายุเท่าใด เพศใด ล้วนแล้วแต่ต้องทบทวนทั้งสิ้น เพราะว่าการทบทวนจะเป็นส่วนช่วยให้เราจำได้ดียิ่งขึ้น ถ้ายิ่งทบทวนมากโอกาสที่จะไม่ลืมก็มีสูงมากด้วย คงกล่าวไม่ได้ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทบทวน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษาก็ต้องทบทวนบทเรียนเพื่อจะสอบ คนที่เริ่มทำงานก็ต้องทบทวนในสิ่งที่เคยเรียนมาแล้วเพื่อให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งคนสูงอายุก็นิยมที่จะเล่นไพ่ หรืออะไรก็แล้วแต่เพื่อเป็นการทบทวนความจำไม่ให้ลืม

    เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนกำลังจะสอบ ก็เลยต้องทบทวนจึงขอแนะนำการทบทวนที่(ผู้เขียนคิดว่า)ถูกต้องเล็กน้อย
  1. เมื่อเรียนเสร็จแล้วก็จะไปวิ่งเล่น เฮฮา ลั๊นล้า
  2. อ่านหนังสือไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองอ่านได้มาก ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน นิยาย …..
  3. เวลาในการทบทวน คือเวลาที่เราว่างไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น อ่านตั้งแต่กลางดึก จนถึงเช้ามืด หรือว่าจะเป็น อ่านในขณะที่เดินทางไปเรียนหรือที่ทำงาน
  4. ไม่ทำตามข้อที่กล่าวมาทั้งหมด(แต่ผู้เขียนก็ทำบางข้อนะ)…………เอาหละ! เริ่มจิงจังกันดีกว่า
  5. หลังจากที่เรียนเสร็จในแต่ละวันก็ควรจะอ่านทบทวนว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้าง
  6. อ่านล่วงหน้าที่อาจารย์จะสอน เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็สามารถที่จะถามอาจารย์ในเวลาเรียนได้
  7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมเกินไปเพราะจะทำให้เกิด รอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ตับผิดปกติ ขี้ไม่ออก ไม่สูง สิวขึ้น อ้วน และเป็น หมีแพนด้าได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่จะพูดความเหนื่อยล้าได้ในวันถัดๆไป
  8. ออกกำลังกายด้วย เนื่องจากว่าการออกกำลังกายเป็นการใช้สมอง 80% ที่เหลือ ซึ่งโดยปกติเราใช้แค่ 20% ในการจดจำสิ่งต่างๆ
  9. ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ เพราะจะช่วยให้คุ้นหรือชินกับการทำข้อสอบ
  10. ดูข้อสอบเก่าด้วย เพราะว่าอาจารย์อาจจะออกซ้ำกับปีที่ผ่านๆมาก็ได้
ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆคนคงนึกว่าไม่เห็นต้องทำอย่างนี้คะแนนก็ออกมาดีจะทำไปทำไม แต่ผู้เขียนก็อยากให้รู้ว่าสำหรับบางคนก็ต้องใช้เวลาในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจในบทเรียนต่างๆและสำหรับคนนั้นแม้กระทั่งผู้เขียนเองก็อยาหให้รู้ว่าการทบทวนเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรจะทบทวนในเวลาที่เหมาะสม อย่าหักโหมจนเกินไป โดยเฉพาะช่วงสอบผู้เขียนไม่แนะนำให้อ่านโต้รุ่งแล้วค่อยไปสอบนอกจากจะจำอะไรไม่ค่อยได้แล้วเพราะสมองถูกใช้งานอย่างหนัก ยังมีโอกาสหลับในห้องสอบสูงมาก ถึงแม้ว่าเราจะอ่านมาอย่างดีจำได้หมดแต่ถ้าหลับในห้องสอบก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อีกทางที่ผู้เขียนจะแนะนำก็คือ อ่านกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ เพราะว่าแต่ละคนก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน การอ่านด้วยกันจะเป็นการที่ทำให้ได้มองในมุมต่างๆ หรือแม้กระทั่งใช้วิธีที่ผู้เขียนใช้ นั่นก็คือหาคนรับผิดชอบแต่ละวิชา ซึ่งเมื่อใกล้สอบก็จะมาอธิบายให้เพื่อนๆฟัง หรือว่าจะให้เพื่อนคนนั้นเป็นครูประจำชั้นไปเลยนั่นก็คือให้รับผิดชอบหมดทุกวิชาเลย ซึ่งก็คงจะไม่มีคนยอมเป็นเลยนอกจากจะเก่งระดับเทพพพพพพสุดๆ ไม่ว่าจะทำแบบไหนเราก็คงต้องทบทวนอีกอยู่ดีเพื่อให้รู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจแล้วก็จะมีโอกาสในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ  
ปล. ข้อที่ผู้เขียนเขียนมาทั้งหมดไม่ใช่ว่าผู้เขียนทำตามทั้งหมดนะ(ก็พยายามอยู่เหมือนกันแต่ทำไม่ได้ซักที) แต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าทำแล้วจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจำมากขึ้น

Tuesday, 13 July 2010


Paul Octopus

    เนื่องจากว่าช่วงนี้กระแสของหมึกพอลเป็นที่โด่งดังมาก ผู้เขียนจึงไปหาประวัติและการทำนายผลของหมึกพอลที่แล้วๆมาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบ

    หมึกพอลเป็นหมึกยักษ์อายุ 2 ปี เกิดที่ประเทศอังกฤษ ต่อมันได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน โดยที่ก่อนการแข่งขันฟุตบอลของทีมชาติเยอรมนีกับคู่แข่ง ทางพิพิธภัณฑ์จะให้หมึกพอลเลือกกินหอยแมลงภู่ที่อยู่ในกล่อง โดยที่กล่องนึงเป็นกล่องที่ติดสัญลักษณ์ธงชาติเยอรมนี และอีกกล่องติดสัญลักษณ์ธงชาติของคู่แข่งของเยอรมนี ซึ่งถ้าหมึกพอลกินหอยแมลงภู่ในกล่องที่มีสัญลักษณ์ใดอยู่ จะเป็นการทำนายว่าทีมชาตินั้นจะชนะ

    ตามสถิติการทำนายของหมึกพอลในฟุตบอลยูโร 2008 หมึกพอลทำนายถูกต้องมากกว่าร้อยละ 80 แต่ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 หมึกพอลทำนายการแข่งขันของทีมชาติเยอรมนี ถูกต้องทั้งหมด ( 7 ครั้ง ) โดยที่ทายว่าเยอรมนีจะแพ้ให้กับเซอร์เบียในรอบแบ่งกลุ่ม และยังทายอีกว่าเยอรมนีจะแพ้ให้กับสเปนในรอบรองชนะเลิศ

    ผู้คนเริ่มสนใจในตัวหมึกพอลมากขึ้นตั้งแต่นัดที่ เยอรมนีชนะอังกฤษ จนกระทั่งในการทำนายผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ครั้งสุดท้าย ที่ทำนายว่าทีมชาติสเปนจะชนะทีมชาติทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ทำให้หลายประเทศต่างนำสัตว์ต่างๆมาทำนายบ้างไม้เว้นแม้กระทั่งประเทศไทย ที่นำหลินปิงมาทำนายด้วย

    ผู้เขียนขอปิดท้ายด้วยความจริงหลายประการที่เกี่ยวกับหมึกพอล
 

  1. หมึกพอลกลายเป็นคนดัง(celeb)ในชั่วข้ามคืนที่มีการทำนายผลฟุตบอลโลก
  2. หมึกพอลเป็นที่ต้องการของใครหลายๆคนไม่ว่าจะเป็น นักพนันหรือแม้กระทั่ง นักชิมอาหาร
  3. หมึกพอลสามารถทำเงินให้มากมายถ้าเชื่อในตัวหมึกพอลอย่างไม่มีข้อสงสัย
  4. หมึกพอลไม่กลัวคำขู่ใดๆ เพราะมันก็เอาแต่กินแล้วก็ว่ายน้ำไปมาอย่างร่าเริง
  5. หมีกพอลได้ถูกบันทึกว่าทายแม่นที่สุด เหมือนว่ามันจะพัฒนาฝีมือจากการทำนายฟุตบอลยูโร 2008 มาแล้ว
  6. ……………………………………………………………………………………
  7. …………………………………………………………………………………………………….

Thailand Festival of the Mind 2010

    ความจำเป็นเรื่องของแต่ละคน บางคนจำเก่ง บางคนจำได้ช้า บางคนจำ
อะไรไม่ได้เลย การจำนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับบางคนเพราะแค่ท่องๆไปเดี๋ยวก็ได้ แต่บางครั้งการท่องๆไป แปปเดียวก็ลืมแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม
ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเป็น staff ในงาน Thailand Festival of the Mind 2010 : The Third Thailand Open Memory Championships หรือเรียกทั่วๆไปว่า
การแข่งขันแข่งความจำ งานนี้จัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เขียนได้เป็น staff เนื่องมาจากว่าอาจารย์ธงชัย ที่สอนวิชา Innovative Thinking ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการการแข่งขันครั้งนี้ด้วย และต้องการนักเรียนที่จะไปช่วยเป็น staff ด้วย


    งานนี้จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ระดับ คือ การแข่งขันระดับผู้ใหญ่ และการแข่งขันระดับเด็ก ซึ่งรอบแรกคือรอบเช้า เป็นการแข่งขันในระดับผู้ใหญ่ การแข่งระดับนี้มีโจทย์อยู่ทั้งหมด 4 ข้อ โดยข้อแรกให้แข่งกันจำไพ่ที่สุ่มว่าเรียงลำดับแบบใดเป็นเวลา 10 นาที โดยที่ผู้เขียนและ staff คนอื่นๆเป็นคนสลับไพ่ก่อนที่จะนำมาให้กับผู้แข่งขัน ข้อที่ 2-4 ผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าแข่งอะไรเพราะผู้เขียนเป็นกรรมการคุมสอบข้อแรกข้อเดียว

  
  เมื่อมาถึงช่วงบ่ายเป็นการแข่งขันระดับเด็ก ซึ่งมีนักเรียนจากหลายโรงเรียนเข้ามาแข่งกันมากมาย มีประมาณ 100 กว่าคน ซึ่งจุดนี้เองที่ต้องมีกรรมการมาช่วยตรวจข้อสอบ ซึ่งผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในกรรมการนั้นด้วย การสอบระดับเด็กนี้มีข้อสอบทั้งหมดประมาณ 6 ข้อ โดยเท่าที่ผู้เขียนจำได้จะมีการแข่งขันให้จำหน้าและชื่อของคน เมื่อหมดเวลาจำแล้วก็จะให้เขียนชื่อให้ตรงกับหน้านั้น เด็กบางคนจำไม่ได้ก็เขียนชื่อมั่วมาเลย บางชื่อก็ทำให้กรรมการหลายคนหัวเราะได้เลยทีเดียว บางข้อก็เป็นให้จำตัวเลขซึ่งก็ยังมีเด็กบางคนมั่วอีกเช่นเคย การแข่งบางข้อนั้นมีหักคะแนนด้วย ถ้ามั่วมาเยอะก็คงโดนหักเยอะเลย

    หลังจากการแข่งขันจบก็มีการประกาศว่าใครชนะเลิศ ในระดับต่างๆซึ่งตอนที่ประกาศผู้เขียนไม่อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นก็เริ่มเย็นมากแล้ว ผู้เขียนจึงขอตัวกลับก่อนเนื่องจากมีงานที่ต้องทำอีก

    งานนี้เป็นงานที่ทำให้ผมได้รู้ว่าเด็กๆก็จำเก่งไม้แพ้ผู้ใหญ่เลย บางคนถึงหลายคนจำได้มากกว่าผู้เขียนซะอีก ถ้าผู้เขียนมีโอกาสได้ไปทำงานแบบนี้อีกผู้เขียนก็จะนำมาเล่าให้ผู้อ่านทุกคนทราบนะครับ

Monday, 12 July 2010

 Dead Poets Society

      และแล้วก็ถึงวันที่ผู้เขียนต้องกลับมาเขียน blog อีกครั้ง หวังว่าผู้อ่านคงยังไม่เบื่อก่อนนะ…… แต่ถึงจะเบื่อยังไงผู้เขียนคนนี้ก็จะยังคงเขียนไปเรื่อยๆอยู่ดีแหละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คือว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมาอาจารย์ให้ดูหนังเรื่องนึงชื่อว่า Death Poets Society หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า ครูครับ...เราจะสู้เพื่อฝัน (ผู้เขียนรู้สึกว่าภาษาอังกฤษดูดีกว่าแต่ก็ช่างมันเถอะ) เนื่องจากว่าอาจารย์ต้องไปแสดงการเล่น juggling ที่ลาน central world juggling เป็นการแสดงที่จะมีลูกบอลสามลูก โดยที่คนโยนต้องผลัดกันโยนลูกขึ้นไปแล้วรับให้ได้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันน่าสนุกมากอยากเล่นให้เป็นซักครั้ง

      ผู้เขียนจะขอเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้นิดหน่อย…….ไม่นิดละกันเพราะคงเยอะอยู่ เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านหรือบางท่านที่ยังไม่เคยดูเรื่องนี้ ได้ดูเพราะผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ได้ข้อคิดอะไรเยอะเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในการที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย (ในความคิดของผมคล้ายๆกับโรงเรียนเตรียมอุดมนะ) โดยที่มีครูสอนคนใหม่ชื่อว่า ครูคีตติ้ง(Keating) เป็นครูที่สอนไม่เหมือนกับครูคนอื่นๆโดยที่ครูคีตติ้งไม่ได้ให้นักเรียนท่องแต่ตำรา แต่เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นนักเรียนจึงชอบครูคีตติ้งมาก คำๆนึงที่ผู้เขียนชอบมากคือ “Carpe diem” คา–เพ–เดียม เป็นวลีจากบทกวีในภาษาลาติน แปลว่า Seize the day หรือ จงฉกฉวยวันเวลาเอาไว้ ซึ่งหมายถึงให้ ฉกฉวยช่วงเวลาที่ดีๆของชีวิตเอาไว้
      ต่อมานักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เรียนกับครูคีตติ้งได้ก่อตั้งชมรมที่ชื่อว่า กวีไร้ชีพ(Death Poets Society) ขึ้น หนึ่งในนั้นมีนักเรียนคนหนึ่งชื่อ Neil Perry เขาฝันว่าอยากเป็นนักแสดงแต่พ่อแม่ของเขาไม่ยอมและพยายามบังคับให้ลูกตั้งใจเรียน สุดท้ายแล้ว Neil Perry จึงฆ่าตัวตาย นั่นทำให้เหล่าคณาจารย์สงสัยและสืบค้นเกี่ยวกับ ชทรมกวีไร้ชีพ และได้ข้อสรุปว่าที่ Neil Perry ตายเพราะครูคีตติ้ง นั่นทำให้ครูคีตติ้งต้องถูกให้ออกจากโรงเรียนนี้
ตอนจบของเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนร้องไห้เลย ผู้เขียนคิดว่าเป็นหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องนึงนอกจากหนังเรื่องนี้จะทำให้เรามีความคิดที่แตกต่างจากมุมเดิมๆแล้ว ผู้แต่งเรื่องนี้แต่งได้ดีมาก บางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องจบแบบนี้แต่ผู้เขียนคิดว่า ผู้แต่งคงอยากให้เราได้คิดในสิ่งที่เราไม่เคยได้คิดหรือให้มองในมุมที่แตกต่างจากมุมเดิมก็ได้
ยังไงผู้เขียนก็ขอฝากเรื่องนี้เอาไว้ให้กับใครที่ยังไม่เคยดูก็แล้วกัน แล้วถ้ามีหนังเรื่องอะไรที่น่าดูอีกผู้เขียนก็จะเอามาลงแบบนี้อีกนะครับ

Sunday, 11 July 2010

CU SYMPHONY

ดนตรีเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจคนเราเข้มแข็งขึ้นได้ แต่ดนตรีบางประเภทก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจคนให้อ่อนโยนขึ้นด้วย ดนตรีมักทำให้ผู้ฟังคล้อยตามในจังหวะของมัน อย่างเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังเพลง classic ของวง CU Symphony ที่จัดขึ้นที่ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

งานนี้มีการเล่นบทเพลงทั้งสิ้น 3 บทเพลงคือ Der Freischutz ของ Carl Maria von Weber, Violin Concerto in D minor, Op.47
ของ Jean Sibelius, และ
Symphony No.7 in A Major, Op.92 ผลงานประพันธ์ของ Ludwig Van Beethoven โดยที่มี สิทธิชัย เพ็งเจริญ ซึ่งเป็นบัณฑิตจากภาควิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าวง (Concertmaster) ของ Thailand Philharmonic Orchestra มาเล่น solo violin และมี conductor คือ ผศ.นรอรรถ จันทร์กล่ำ อาจารย์ประจำภาควิชาดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ และผู้ที่ดูแลการฝึกซ้อมคือ ผศ. พอ.ชูชาติ พิทักษากร ศิลปินแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้เขียนได้เข้าร่วมฟังบทเพลงของวง CU Symphony กับรุ่นพี่อีก 2 คน พอฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นดนตรีที่ไพเราะ มีการล้อเลียนเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดด้วย ทำให้ฟังแล้วรู้สึกไพเราะยิ่งขึ้น การแสดงนี้มีการพักครึ่งระหว่างการแสดงตลอด 3 ชั่วโมงและมีการเปลี่ยนเครื่องดนตรีบางประเภทในแต่ละรอบด้วย ทำให้ได้ฟังเพลงของเครื่องดนตรีที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

บางเพลงผู้เขียนฟังแล้วก็ง่วงนิดหน่อย คงเป็นเพราะเพลงช้าด้วย แต่ก็เพราะดี เพลงที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดคือเพลงสุดท้ายเนื่องจากเพลงนี้ให้อารมณ์ที่สนุกสนาน ครื้นเครง ทำให้ผู้เขียนเคาะจังหวะตามเลย

ผู้เขียนก็เพิ่งฟังดนตรี Orchestra เป็นครั้งแรก รู้สึกว่าคนบรรเลงเล่นเก่งมาก ทำให้เสียงเพลงแต่ละเครื่องดนตรีประสานกันอย่างไพเราะ ถ้าผู้อ่านมีการแสดงดนตรีหรือรู้ว่าจะมีแสดงอะไร ที่ไหน อย่าลืมบอกผู้เขียนคนนี้ด้วยนะ ถ้าว่างจะไปฟัง ^ ^


Sunday, 4 July 2010

Intro…… to my blog

     การเขียน blog ครั้งนี้เป็นการเขียนครั้งแรกของผม โดยปกติแล้วผู้เขียน (ขอแทนตัวเองแบบนี้นะ) จะไม่ค่อยเขียนหรือพูดเท่าไรเพราะเป็นคนที่ทั้งพูดและเขียนไม่ค่อยเก่ง แต่เนื่องจากว่าผู้เขียนต้องการคะแนนในวิชา Innovative Thinking ก็เลยต้องมาฝึกฝีมือในการเขียนในนี้ ถ้าภาษาไม่สละสลวยหรือมีอะไรผิดก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านอภัยให้กับผู้เขียนคนนี้ด้วย

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับวิชา Innovative Thinking กันหน่อยดีกว่า

    ตอนแรกผู้เขียนรู้จักวิชานี้จากเพื่อนๆที่เคยเรียนมา ทันทีที่ได้ยินชื่อวิชานี้ผู้เขียนก็มีความรู้สึกสนใจวิชานี้ทันที และเนื่องจากมีการpost ลงเวบบอร์ดด้วยทำให้ผู้เขียนสนใจมากขึ้นไปอีก แต่ตอนเปิดเทอมก็รู้มาว่าวิชานี้เต็มแล้ว แต่ก็มาลองเรียนดูเผื่อจะมาขออาจารย์ หลังจากที่มาลองเรียนคาบนึงแล้วทำใหผู้เขียนสนใจกับวิชานี้อย่างมากถึงกับต้องฝากเพื่อนลงให้ได้ เพราะช่วงนั้นผู้เขียนไม่ว่าง และแล้วผู้เขียนก็ได้มานั่งเรียนในวิชานี้

    วิชา Innovative Thinking นี้มีอาจารย์ ธงชัย โรจน์กังสดาล เป็นผู้สอน และเป็นการสอนที่ผู้เขียนคนนี้ไม่เคยเรียนมาก่อน เพราะ

  1. วิชานี้ไม่มีการสอบ อันนี้เองเป็นความแตกต่างจากวิชาอื่นๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้เขียนชอบมาก(555+)
  2. อาจารย์จะมีเทคนิคการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสนุกไปกับมัน เช่น มีการเล่นเกมต่างๆ
  3. ……………………………………

แล้วผู้เขียนจะได้อะไรจากการเขียนนี้หละ?

  1. คะแนน เอ้ยไม่ใช่ๆ
    (แต่ก็แอบหวังอยู่นะ)
  2. ฝึกการเขียนเนื่องจากว่าผู้เขียน เขียนไม่ค่อยเป็นและไม่ค่อยเก่ง
  3. ได้ความรู้จากที่เรียนใน class Innovative Thinking
  4. ……….ยังนึกไม่ออก แต่เดี๋ยวก็คงนึกออกเอง 555+

ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่าอ้าวถ้าไม่มีการสอบและจะเก็บคะแนนยังไงหละ ซึ่งผู้เขียนขอตอบว่านำมาจากคะแนนการบ้าน การทำงานในห้องเรียนและการมีส่วนร่วมในการตอบคำถาม ซึ่งอย่างหลังนี้เองทำให้ผู้เขียนฝึกได้ความกล้าด้วย

ผู้เขียนไม่รู้จะเขียนอะไรต่อไปแล้ว แต่ผู้เขียนก็จะเขียนต่อไปและจะพยายามพัฒนาทักษะในการเขียนให้ดีกว่านี้ ไว้ติดตามเรื่องต่อๆไปที่ผู้เขียนจะเขียนได้ในการอัพครั้งต่อไป

ปล..............
อยากให้ผู้ที่เข้ามาอ่าน comment บ้างอะไรบ้าง เพื่อเป็นการชี้แนะว่าผู้เขียนต้องทำอะไรบ้างและยังทำให้ผู้เขียนคนนี้รู้สึกดีใจที่มีคนเข้ามา comment